การลุ้นแชมป์ดุเดือดขึ้น

การลุ้นแชมป์ดุเดือดขึ้น
3 นัดหลังสุดของลิเวอร์พูลราวกับนั่งรถไฟเหาะตีลังกา..

ทั้งฟอร์มการเล่น ทั้งผลการแข่งขัน

เกมกับเอฟเวอร์ตันโดนนำก่อน มารัวสองประตูแซงหน้า ทำท่าจะปิดเกมได้แต่ถูกตีเสมอ 2-2 ในวินาทีสุดท้ายของเกม

ทำได้ดีแต่ได้แค่แต้มเดียว

เกมกับวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส นำก่อน 2-0 ในครึ่งแรกที่ไร้วี่แววว่าจะเจอกับความยากลำบาก แต่ครึ่งหลังเหมือนหนังคนละม้วน โดนบดขยี้ตลอด 45 นาทีชนิดโอกาสยิงเป็น 0 ก่อนเอาตัวรอดหวุดหวิด

ไม่น่าชนะแต่เก็บ 3 คะแนนได้

เกมล่าสุดกับ แอสตัน วิลล่า ออกนำไปก่อนจากการแจกของขวัญของเจ้าถิ่น ถูกยิงแซง 1-2 ก่อนหมดครึ่งแรก ไล่ตีเสมอ 2-2 ในครึ่งหลัง แต่ต้องผิดหวังกับโอกาสทองที่โยนทิ้งไปอย่างน้อย 2-3 ลูก

เสมอแบบคาใจเล็กน้อย แต่อีกมุมหนึ่งก็โล่งอกที่ไม่แพ้

อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือความตึงเครียด ผมยังมองเห็นความเก้ ๆ กัง ๆ ในจังหวะสุดท้ายของนักเตะลิเวอร์พูลอยู่สำหรับเกมที่ วิลล่า พาร์ค

แม้จะดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับครึ่งหลังของเกมชนะวูล์ฟส์ แต่ความเชื่อมั่นที่น้อยลงก็ยังแฝงอยู่ในเกือบทุก ๆ การตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเกมรุกหรือเกมรับ

บอลที่โดยปกติเราจะได้เห็นการแทงยัดให้เพื่อนแบบกล้าได้กล้าเสียถูกดึงกลับเพื่อเน้นความแน่นอน หรือการสกัดบอลในเขตโทษยังไม่เด็ดขาด เตะไม่พ้น ชกไม่หลุด หรือสับสนในการสื่อสาร

เป็นช่วงเวลาที่ลิเวอร์พูลเล่นไม่เป็นธรรมชาตินักเมื่อเทียบกับผลงานในสนามช่วงครึ่งฤดูกาลแรกที่ทำได้หนักแน่น และมั่นใจ

บางทีอาจเป็นความคาดหวังที่เพิ่มขึ้น การถูกยกให้เป็นเต็งจ๋าที่จะคว้าแชมป์ สถานะเปลี่ยนกระทันหันเพราะช่วงก่อนเปิดฤดูกาลยังถูกมองข้ามอยู่เลย

หากนั่นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ประสบการณ์ลุ้นแชมป์อาจไม่มีในตัวนักเตะหงส์แดงหลายคน กองกลางแทบจะยกแผง แต่ตำแหน่งอื่นยังมีคนเป็นแชมป์มาแล้วเป็นแกนหลักทั้งสิ้น

อลีสซง เบ็คเกอร์, เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ นักเตะกลุ่มนี้คือรุ่นพี่ กวาดแชมป์กับทีมมาหมดแล้วทั้งแชมป์ลีก แชมป์ทวีป แชมป์โลก

อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็ไปถึงระดับแชมป์ฟุตบอลโลกกับทีมชาติอาร์เจนติน่าเช่นกัน หากก็ยังเต็มกลืนทีเดียวกับการเอาตัวรอดในแต่ละเกมช่วงหลัง

แดนกลางที่เคยเป็นหัวใจควบคุมจังหวะของเกมได้สมบูรณ์แบบเริ่มไม่มั่นคง ครอบครองโมเมนตัมให้ทีมไม่ได้อย่างเคย

เกมล่าสุดที่ลิเวอร์พูลคุมทุกอย่างเบ็ดเสร็จจริง ๆ ทั้งรูปเกม ทั้งโอกาส และทั้งผลการแข่งขันเห็นจะเป็นวันที่ไล่ถล่ม ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 4-0 ในรอบตัดเชือกลีก คัพ นัดที่สอง ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

หรือถ้าจะมองหาภาพนั้นในเกมลีก ก็คงเป็นวันที่ถลุง อิปสวิช ทาวน์ สบายเท้า 4-1 ที่แอนฟิลด์ช่วงปลายเดือนมกราคม หรือย้อนขึ้นไป 5 เกมก่อนหน้านี้นั่นล่ะ

เพราะหลังจากเกมนั้น นอกจาก 3 นัดล่าสุดกับ เอฟเวอร์ตัน (2-2) วูล์ฟแฮมป์ตัน (2-1) และ แอสตัน วิลล่า (2-2) แล้ว วันที่บุกชนะ บอร์นมัธ 2-0 รูปเกมก็ยังอึดอัดคับข้องใจถ้าไม่ได้ 2 ประตูช่วงทดเวลาของ ดาร์วิน นูนเยซ ก็เสียไปอีก 2 แต้มแล้ว

ลิเวอร์พูลกำลังเผชิญกับปัญหาใช่ไหม..

เราคงตอบได้ว่าใช่ เพราะแต่ละเกมผ่านไปอย่างยากลำบากมากขึ้น

แต่มันคือจุดจบของโลกไหม ทุกอย่างแตกสลาย หรือพังทลายล้มครืนเลยหรือเปล่า มันก็คงยังห่างไกลที่จะสรุปแบบนั้น

หลายคนฟันธงว่าลิเวอร์พูลจบเห่แล้ว ทรงนี้ชวดแชมป์แน่นอน โดนอาร์เซน่อลแซงแน่ ๆ แต่ผมก็ยังคิดว่ามันเร็วเกินไปอยู่ดีที่จะตัดสินด้วยความมั่นใจขนาดนั้น

แต่ก็นั่นแหละ มุมมองใครมุมมองมันคงไม่มีผิดถูกที่ชัดเจน

แน่นอนครับ โอกาสเป็นแชมป์ของลิเวอร์พูลสั่นคลอนกว่าเดิมเพราะแต้มหายไปอีก 2 แต้ม แต่หากมองในด้านความได้เปรียบอื่น ก็ยังถือได้ว่าโอกาสยังอยู่ในมือของพวกเขา

8 คะแนนที่นำอาร์เน่อลอยู่ แม้จะลงเตะมากกว่าทีมปืนใหญ่ 1 นัดก็ยังนับว่าได้เปรียบ ด้วยมันคือแต้มห่างในระดับ 3 เกมเต็ม ๆ หรือถ้าอาร์เซน่อลเก็บชัยชนะเกมในมือได้ไล่มาเหลือ 5 คะแนน มันก็ยังห่างกันในระดับ 2 เกม

ว่ากันด้วยสถานการณ์ตรง ๆ ทื่อ ๆ ลิเวอร์พูลยังได้เปรียบคู่ปรับแย่งแชมป์จากลอนดอนอยู่ 2-3 เกม คือพลาดได้อีก 2-3 เกมในเงื่อนไขที่อาร์เซน่อลต้องชนะรวดทุกเกมที่เหลืออยู่ด้วย

นั่นหมายความว่าในทุก ๆ ครั้งที่เดอะกันเนอร์สสะดุด จำนวนเกมที่ลิเวอร์พูลสามารถพลาดได้ก็จะขยับเพิ่มขึ้นไปอีก จาก 2-3 เกมก็อาจเป็น 4-5-6 เกมได้

นอกจากนี้ยังมีเกมที่พบกันเองในแอนฟิลด์รออยู่ในเกมที่ 36 ของฤดูกาล ซึ่งโดยหน้าเสื่อแล้วเล่นกันที่แอนฟิลด์ก็ยังถือเป็นความได้เปรียบของลิเวอร์พูล

ขณะที่ความพร้อมของทีมปืนใหญ่เองก็ไม่เต็มร้อยมีนักเตะตัวรุกบาดเจ็บเกือบยกแผง มีเกมที่ยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็นเหมือนกัน มีเกมที่สะดุดหกล้มเหมือนกัน..

อย่างน้อย ๆ ก็ แอสตัน วิลล่า ทีมเดียวกันนี่แหละ โดนนำ 0-2 ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ด้วยซ้ำแต่ไล่ตีเสมอ 2-2 ในครึ่งหลังแบ่งแต้มกลับออกไปได้

แน่นอนครับ ผลเสมอในเกมล่าสุดย่อมสร้างความไม่มั่นใจให้เกิดขึ้นในหมู่แฟนบอลลิเวอร์พูล ยิ่งมองในภาพรวม 3 นัดหลังสุดแต้มกระเด็นหายไป 4 แต้ม ช่องว่างที่เคยไกลอาจถูกลดลงมาเหลือ 5 คะแนน บางคนยกธงขาวยอมแพ้กันแล้ว

แต่กองเชียร์อาร์เซน่อลอาจบอกว่ามาแลกกันไหม พวกผมยินดีนะถ้าจะแลกสถานการณ์กัน คุณมาอยู่แทนผม ผมไปอยู่แทนคุณเอง

ฟุตบอลลีกมันก็แบบนี้ เราได้เห็นธรรมชาติของมันมาตลอด จะหาทีมที่เพอร์เฟกต์สมบูรณ์แบบไม่พลาดเลยในทุกเกมที่ลงสนามยากเต็มที หรือใช้คำว่าเป็นไปไม่ได้ก็คงไม่ผิด

ทุกความสุดยอด ทุกการผิดพลาด ทุกโชคดีโชคร้าย ทุกกำลังใจที่ขาดวิ่นล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ทั้งสิ้น

สงครามยังไม่จบก็ต้องลุยไปกันต่อ ท้อแค่ไหนก็ต้องไป ห่อเหี่ยวเพียงใดก็ต้องกลั้นใจก้าวเดิน กระทั่งฤดูกาลพังพินาศลงไปเรียบร้อยแล้วคุณก็ยังมีหน้าที่ต้องเตะให้จบนัดสุดท้าย

ระหว่างทางถ้ายังมีลุ้นแชมป์ แต้มยังไม่ขาด โอกาสยังไม่จบ ก็ต้องไม่ทิ้งความหวัง ไม่เอาพลังลบมาบั่นทอนจิตใจ มีช่วงกระเสือกกระสนก็ต้องรวมพลังกันผ่านไปให้ได้ มีช่วงที่มั่นใจเครื่องติดก็ต้องรักษามันไว้ให้นานที่สุด

ใครบริหารสถานการณ์ได้ดีกว่ากัน ใครจำกัดความผิดพลาดได้ดีกว่ากัน ใครทำได้ดีที่สุดเมื่อเตะจบ 38 เกมก็เอาแชมป์ไป

บางฤดูกาลแชมป์ต้องว่ากันในระดับ 98 แต้ม เพราะขนาดโกยมา 97 คะแนนคุณยังเป็นที่สอง แต่บางฤดูกาลพรีเมียร์ลีกอาจเรียกร้องจากคุณเพียง 80 กว่าแต้มเท่านั้นสำหรับโทรฟี่แชมป์

มันก็ไม่มีอะไรที่ตายตัวจริง ๆ

ถ้าฤดูกาลนี้อาร์เซน่อลจะรันยาวชนะรวดใน 13 เกมที่เหลือแซงขึ้นไปเป็นแชมป์ ลิเวอร์พูลก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายอมรับความพ่ายแพ้ ให้เครดิตทีมปืนใหญ่ว่าสุดยอดจริง ๆ

ถามว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้ไหมมันย่อมมีอยู่แล้ว ทีมระดับลุ้นแชมป์มักจะมีคุณสมบัติพิเศษอย่างนี้คือเข้าเบรกชนะรวดยาว ๆ

แมนฯ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล เคยชนะ 18 เกมติดต่อกันในลีก พูดง่าย ๆ คือชนะรวดเกือบครึ่งฤดูกาล (19 นัด) ทีมเรือใบสีฟ้าทำมันในซีซั่น 2017/18 ส่วนหงส์แดงทำไว้ในฤดูกาลคว้าแชมป์ 2019/20

มาตรฐานของการเข้าเบรกชนะรวดช่วงหลายปีหลังยังมีเพียง ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ที่ชัดเจนกว่าใคร ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังมีช่วงรันชนะ 15 นัดรวดอีก 2 ครั้งในฤดูกาล 2018/19 กับ 2020/21 ชนะ 13 นัดรวดอีกหนึ่งครั้ง และชนะ 12 นัดรวดอีก 2 หน

ลิเวอร์พูลก็มีสถิติชนะรวด 17 เกมซ้อนในลีกช่วงรอยต่อฤดูกาล 2018/19 กับ 2019/20 ขณะที่ซีซั่น 2021/22 มีชนะ 10 เกมติดต่อกัน

อาร์เซน่อลในยุค มิเกล อาร์เตต้า เคยทำได้ 8 เกมติดต่อกัน มันเกิดขึ้น 2 ครั้งเมื่อฤดูกาลที่แล้ว กับช่วงรอยต่อระหว่าง 6 เกมสุดท้ายของซีซั่นก่อนกับ 2 เกมแรกของฤดูกาลนี้

ทีมปืนใหญ่ยังเคยชนะรวด 7 นัดติดเมื่อฤดูกาล 2022/23 และมีชนะรวด 6 เกมติด 5 เกมติด หรือ 4 เกมติดเป็นระยะ แต่ก็ยังมีกำแพงชนะรวดเป็นเลข 2 หลักไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาอาจจำเป็นต้องทำในฤดูกาลนี้

เพราะกับเกมเยือนแอสตัน วิลล่า ผลที่ออกมาอาจมีแต่ความรู้สึกด้านแย่ แต้มหาย เกือบแพ้ ใช้โอกาสเปลือง แต่ผมก็ยังเห็นว่าเกมของลิเวอร์พูลไม่ได้เละเทะ

ลิเวอร์พูลพยายามเล่นอย่างมีสติที่สุด ระมัดระวัง และยังสร้างโอกาสทำประตูที่ดีได้ ขณะที่เกมรับก็สามารถจำกัดโอกาสของเจ้าบ้านได้ ด้วยมาตรฐานที่ไม่สวิงรุนแรงระหว่างครึ่งแรกกับครึ่งหลังอย่างเกมกับวูล์ฟแฮมป์ตัน

ค่า xG หรือประตูที่ควรจะทำได้จากการคำนวนของ แอสตัน วิลล่า คือ 0.39 ประตูในครึ่งแรก และ 0.34 ประตูในครึ่งหลัง รวมเป็น 0.73 ประตู

ใช่ครับ แอสตัน วิลล่า ยิงได้ 2 ประตูจากความน่าจะเป็นเพียง 0.73 ประตู คือเรื่องที่ อาร์เน่อ และทีมงานกับลูกทีมของเขาต้องนำไปเป็นการบ้านว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในอีกภาพหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึงเกมรับที่ไม่ได้แย่อย่างที่คิด

ขณะที่ลิเวอร์พูลน่าจะได้ประตู 1.3 ลูกในครึ่งแรก และ 1.14 ประตูในครึ่งหลัง รวมเป็น 2.44 ประตู จากโอกาสยิง 17 ครั้ง ตรงกรอบ 3 หน

มองจากโอกาสที่สร้างขึ้นมาได้ มองจากเกมที่ยังมีความหลากหลาย มีบอลสั้น ยาว ลูกฉาบฉวย และตัวรุกคนสำคัญอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็ยังยิงและจ่ายอย่างต่อเนื่อง

เกมนี้จึงได้แต่เสียดายโอกาสที่ยิงทิ้งยิงขว้างกันไปเอง เพราะกระทั่งคนที่ชัวร์สุด ๆ อย่าง ดีโอโก้ โชต้า ก็ยังพลาดในเกมที่มาตรฐานอย่างเขาควรจะมีสัก 1-2 ประตู

ลิเวอร์พูลคงจะโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง แต่สถานการณ์ของพวกเขาคงไม่ได้เละเทะฤดูกาลพังทลายแตกเป็นเสี่ยง ๆ โอกาสได้แชมป์กลายเป็นศูนย์ในทันทีทันใดหรอกนะครับ

ซีซั่น 2024/25 นี้คงจะไม่ใช่ฤดูกาลที่เราได้เห็นทีมที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบอย่างที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เชลซี แมนฯ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล เคยคว้าแชมป์แบบทิ้งห่างม้วนเดียวจบ

มันอาจจะเป็นลักษณะคล้าย ๆ กับซีซั่น 2015/16 ที่เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์ด้วยซ้ำ คือต่างฝ่ายต่างพลาด ผลัดกันสะดุดหกล้ม

ฤดูกาลนั้นอาร์เซน่อลรองแชมป์มีคะแนนแค่ 71 แต้มเท่านั้นเอง (เลสเตอร์ 81 แต้ม)

ก่อนเกมเยือนวิลล่า พาร์ค Opta คำนวนว่าลิเวอร์พูลจะจบฤดูกาลด้วยการมีแต้ม 87.53 คะแนน อาร์เซน่อล 80.27 คะแนน แมนฯ ซิตี้ 69.02 คะแนน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 65.78 คะแนน และเชลซี 63.99 คะแนน

สุดท้ายแล้วฤดูกาลนี้จะไปจบที่กี่คะแนนไม่อาจรู้ได้หรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าประตูสู่แชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 20 ของลิเวอร์พูลไม่ได้ปิดลงแค่ผลเสมอที่มิดแลนด์ในเกมล่าสุดหรอก

แน่นอนครับ ลิเวอร์พูล ยังมีภาพของความไม่สมบูรณ์แบบติดตัวอยู่ และมีอาการของความไม่มั่นใจแทรกเข้ามา มีแต้มตกหล่นให้เสียดายและเสียขวัญ

แต่คู่ต่อสู้ทีมอื่น ๆ รวมทั้ง อาร์เซน่อล ที่อยู่ใกล้ทีมหงส์แดงที่สุดก็มีโจทย์และอุปสรรคที่ต้องแก้ไขและผ่านมันให้ได้เช่นกัน

การต่อสู้ยังไม่จบอยู่แล้ว ตรงกันข้ามมันดูเหมือนจะสนุกและดุเดือดขึ้นเสียด้วย

ตังกุย


ที่มาของภาพ : Getty
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport