เอาตัวรอดเกมนี้ให้ได้ก่อน เกมหน้าค่อยว่ากัน..
เชื่อว่าเดอะค็อปมากมายคงรู้สึกแบบนี้นะครับในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกมเบียดชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส เมื่อคืนที่ผ่านมา
ไม่ต้องสนใจเลยกับสถิติที่ไม่ได้ยิงแม้แต่ครั้งเดียวในครึ่งหลังเป็นครั้งแรกในรอบกว่าสองทศวรรษ ไม่ต้องสนใจหรอกว่ารูปเกมจะสวยหรือไม่สวย ไม่ต้องใส่ใจด้วยว่าจะชนะใสหรือกระเสือกกระสน
ชนะก่อน รักษาสกอร์นำให้ได้ตลอดรอดฝั่งก่อน.. อย่างอื่นล้วนเป็นเรื่องรองลงไป
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลลีกก็คือคะแนน แน่นอนครับใครก็อยากได้คะแนนด้วยผลงานในสนามที่ดี เล่นฟุตบอลที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ สร้างสรรค์ทำเกมปูพรมบุกเข้าใส่ กองเชียร์ได้นั่งดูเกมอย่างสบายใจรอแค่ว่าเมื่อไหร่ประตูจะมา
มันก็เป็นชัยชนะในฝันที่ทุกคนอยากได้กันทั้งนั้น ทีมใหญ่กว่าก็ควรจะเล่นได้เหนือกว่า ดีกว่า บดขยี้เข้าใส่และกำชัยอย่างประทับใจ
แต่ถ้าชีวิตประจำวันของเราทุกคนยังมีดีได้แย่ได้ มีเดินเตะโต๊ะได้ รถติด รถเสีย ไปโรงเรียนสาย หรือโดนเจ้านายด่า มีวันที่ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด
นั่นแหละครับ ฟุตบอลก็เหมือนกัน.. ในวันที่แย่ บางทีมันก็แย่จริง ๆ อย่างไม่มีเหตุผลหรือที่มาที่ไป
ไม่อย่างนั้นบราซิลก็คงเป็นแชมป์โลกปี 1982 ไปแล้ว ไม่อย่างนั้น นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ก็คงเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแล้ว หรือไม่อย่างนั้น ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น คงไม่ต้องรอจนถึงปีที่แล้วถึงจะได้เป็นแชมป์บุนเดสลีกาหรอก พวกเขาคงได้ฉลองกันไปตั้งแต่ปี 2000 แล้ว
เวสลี่ย์ สไนเดอร์-อันเดรส อิเนียสต้า, ฟร้องค์ ริเบรี่ รวมทั้ง โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ก็คงคว้าบัลลงดอร์ไปครองแล้วเช่นกันถ้าทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น
สไนเดอร์ กับ อิเนียสต้า แย่งบัลลงดอร์ 2010 ส่วน ริเบรี่ เต็งบัลลงดอร์ 2013 ทั้ง 2 ครั้งดันเกิดขึ้นในช่วงที่กติกาให้คะแนนเปลี่ยนไปพอดี ขณะที่ลูกฟุตบอลทองคำของ เลวานดอฟสกี้ ถูกหัวขโมยชื่อโควิด-19 พรากไปจากอ้อมอก
เศร้าใช่ไหม ผิดหวังใช่หรือเปล่า แต่นี่แหละชีวิต มันมีเรื่องคาดไม่ถึงที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเราเกิดขึ้นได้เสมอ ทั้งมันยังไม่เลือกเวลา อาจจะโผล่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้โดยไม่มีวี่แววมาก่อน
ก็เหมือนเกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์นั่นล่ะ จบครึ่งแรกเดอะค็อปยังสบายใจอยู่เลยกับสกอร์ที่นำ 2 ประตูประกอบกับคุณภาพการเล่นของ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ทำให้เราได้เห็นว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงต้องจมอยู่ในพื้นที่หนีตาย
ลิเวอร์พูลควบคุมทุกอย่างได้ในครึ่งเวลาแรก มีจังหวะต่อบอลเข้าทำ มีโอกาสได้เล่นโต้กลับหลายครั้งจากการเดินเกมบุกไม่อุดรับต่ำของผู้มาเยือน ความแม่นยำที่น้อยกว่าและการอ่านจังหวะที่เป็นรองทำให้วูล์ฟส์แทบเก็บบอลสองไม่ได้
ครึ่งแรกจึงเป็นเกมของลิเวอร์พูลที่เล่นตามเกมไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เร่ง ไม่ได้โหม แต่มีโอกาสเข้าทำเป็นระยะ ๆ เพียงแต่พื้นที่สุดท้ายยังไม่เด็ดขาดพอ
กระนั้นทีมหงส์แดงก็ยังขึ้นนำ 2-0 เมื่อจบ 45 นาทีแรก ต้องชมความเร็วและความขยันวิ่งไล่บอลในทุกจังหวะของ หลุยส์ ดิอาซ ที่เป็นกุญแจสำคัญในทั้ง 2 ประตู
พุ่งเข้าเอาท้องชนลูกบอลได้ก่อน โชเซ่ ซา นายทวารทีมเยือนในลูกแรก และปรี่เข้าจิ้มบอลได้ก่อนนายด่านหมาป่าทำให้ทีมได้จุดโทษในประตูที่สอง
แต่ฟุตบอลเป็นเกมของ 2 ครึ่งเวลา มีช่วงพักครึ่งให้แก้ไขจุดบกพร่องและตั้งหลักกันใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในครึ่งแรกไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นอย่างนั้นต่อไปในครึ่งหลัง
กับทีมที่เป็นรอง ถ้าแก้เกมได้ดีและมีอะไรที่เป็นใจอยู่ฝั่งตัวเองเสริมเข้ามาด้วย อะไรก็เกิดขึ้นได้เหมือนกัน
การลงสนามของ มาร์แชลล์ มูเนตซี่ กับ ฌองริคเนอร์ แบลล์การ์ด ตั้งแต่นาทีแรกของครึ่งหลังเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่เหตุผลสำคัญอยู่ที่ วูล์ฟส์ เล่นแบบหลังพิงฝากล้าเดินหน้าลุยมากขึ้นอีก ขยับเกมดันขึ้นสูงกว่าเดิมอีก กล้าผ่านบอลขึ้นหน้า และเลี้ยงลุยเมื่อมีพื้นที่
ในช่วง 15 นาทีแรกของครึ่งหลังเกมเปิดมีทั้งจังหวะสะกิดบอลหลุดเดี่ยวของ มูเนตซี่ ที่ อลีสซง ช่วยป้องกันหวุดหวิด และโอกาสของลิเวอร์พูลจากการวางบอลยาวโต้ให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หลุดไปยิงตุงตาข่าย และ ดีโอโก้ โชต้า เรียกจุดโทษได้
ทั้ง 2 ครั้งถูกริบคืนด้วย VAR.. ซาลาห์ล้ำหน้าเลยเส้นครึ่งสนาม ขณะที่โชต้าเจตนายื่นเท้าสะกิด เอมมานูเอล อั๊กบาดู เพื่อให้มีการปะทะ
จากที่ควรจะนำ 3 ประตู จึงยังเหลือแค่ 2 ประตูตามเดิม
นำ 2-0 กับเกมฟุตบอลไม่ใช่เรื่องปลอดภัย เพราะหากประตูที่ 3 เป็นของคู่แข่งเมื่อไหร่ สถานการณ์จะกลับมาเป็นความไม่แน่นอนทันที ยิ่งกับเกมที่คู่ต่อสู้พร้อมแลกแบบไม่มีอะไรจะเสียอย่างนี้ด้วยก็ยิ่งไว้ใจไม่ได้
ลิเวอร์พูลมีโอกาสได้ประตู 3-0 สองครั้งใหญ่ ๆ แต่พลาดไปทั้งหมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความอกสั่นขวัญแขวนที่เกิดขึ้น
เข้าสู่ช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายหลังจังหวะจุดโทษของโชต้าถูกดึงกลับ วูล์ฟแฮมป์ตันยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาได้อย่างน่าชม เกมเร็วขึ้น บอลไปข้างหน้ามากขึ้น ชนะการปะทะแย่งบอลมากขึ้น เก็บบอลสองได้ดีกว่าเดิม
ค่อย ๆ คืบคลานคุกคามเจ้าถิ่นบ่อยขึ้น มีเวลากับลูกบอลมากขึ้น กลายเป็นโมเมนตัมของเกมถูกถ่ายเทจากสีแดงล้วนในครึ่งแรก ใกล้เคียงกันในช่วง 15 นาทีแรกของครึ่งหลัง ไปเป็นสีเหลืองหม่นแบบเบ็ดเสร็จโดยเฉพาะหลังประตูตีตื้นของ มาเตอุส คุนญ่า ในนาทีที่ 67
คุนญ่า เริ่มมีบทบาทถี่ขึ้นหลัง VAR ของโชต้า เมื่อเกมเริ่มเปลี่ยนไปเป็นของวูล์ฟส์แบบชัด ๆ จากที่แดนกลางลิเวอร์พูลควบคุมเกมไม่ได้ แพ้ในการแย่งบอลเกือบตลอด
บอลถูกเปิดป้อนไปถึงเขาบ่อยขึ้น มันตามมาด้วยความปั่นป่วนของหงส์แดงเพราะต้องปวดหัวกับความคล่องตัว รอบจัด เทคนิค ทักษะ เซนส์เกมรุกที่ยิงก็ได้ จ่ายก็คมของดาวเตะแซมบ้า
ลิเวอร์พูลไม่สามารถตัดเส้นทางบอลไม่ให้ไปถึงคุนญ่าได้ เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ วูล์ฟส์ สามารถตัด ซาลาห์ ออกจากเกมได้สนิทในครึ่งหลัง และเมื่อตัวอันตรายของฝ่ายตรงข้ามสามารถมีอิทธิพลต่อเกมได้ตลอดเวลา ความเสี่ยงของคุณจึงยิ่งเพิ่มขึ้น
วูล์ฟแฮมป์ตันเล่นอย่างไม่กลัว กล้าแลก เข้าหาบอลเร็ว กระฉับกระเฉง กล้าผ่านบอลขึ้นหน้าแบบได้เสีย และยังกล้าเลี้ยงลุยเข้าใส่พื้นที่ว่างที่ลิเวอร์พูลเผลอเปิดให้
แนวรับต้องทำงานหนัก โดยเฉพาะคู่เซนเตอร์แบ๊กทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และ จาเรลล์ ควอนซาห์ ที่เปลี่ยนตัวลงไปแทน อิบู โกนาเต้ ช่วงพักครึ่งต้องมีสมาธิตลอดเวลาเพราะนักเตะหมาป่าพร้อมจ่ายบอลทะลุช่องทุกจังหวะ
ลิเวอร์พูลเป็นรองหนักถึงขนาดที่ อาร์เน่อ ต้องส่ง วาตารุ เอนโด ลงไปแทน ดิอาซ ตั้งแต่นาทีที่ 71
โดยปกติแล้ว เอนโด จะถูกส่งลงไปช้ากว่านี้เพื่อดึงเวลาและปิดเกมในช่วงท้ายการแข่งขัน แต่การลงสนามตั้งแต่ก่อนหมดเวลายี่สิบนาทีคราวนี้มีภาพของความกระเสือกกระสนมากกว่านั้น
มันไม่ใช่แค่การลงไปปิดเกม รักษาสกอร์ แต่เป็นการลงไปเพื่อเพิ่มผู้เล่นในเกมรับช่วยเพื่อนร่วมทีมรับมือกับพายุเกมบุกของทีมเยือนที่กำลังโหมใส่ทุกรูปแบบ นักเตะ 7-8 ดันสูงขึ้นไปค้ำรอแย่งบอลถึงหน้าเขตโทษ เรียกว่าหมาป่าเลือดขึ้นหน้าเต็มที่
ลิเวอร์พูลต้องโยนเกมบุกทิ้งไปก่อน โมเมนตัมนั้นกระตุกไม่ขึ้นแล้วจริง ๆ
การต่อบอลที่เคยรวดเร็วแน่นอนหายไป บอลจังหวะเดียวที่มั่นใจก็หายไป จังหวะหนึ่งเห็นชัดเจน ไรอัน กราเฟนแบร์ก ไม่กล้าแทงบอลให้เพื่อนที่วิ่งนำทางขึ้นหน้าด้วยกลัวจะเสียบอล จากนั้นก็ถูกแข้งวูล์ฟส์รุมแย่งเอาบอลไปได้และไปจบที่การเสียลูกฟรีคิกหน้าเขตโทษ
จากที่เคยคิดเร็วก็กลายเป็นคิดช้า กลัวพลาด ไม่มั่นใจ และผู้เล่นวูล์ฟส์ก็ไม่ปล่อยให้นักเตะหงส์ได้มีเวลาคิดเลย ชิงบดบี้แย่งบอลไปครองได้ตลอด
มันจึงเป็นช่วง 15-20 นาทีสุดท้ายที่ตึงเครียดอย่างที่สุดสำหรับลิเวอร์พูล แฟนบอลต้องลุ้นแบบกัดเล็บและหัวใจแทบวาย
จังหวะป้องกันสำคัญ 2 ครั้งใหญ่ ๆ ของนักเตะที่ถูกแฟนบอลบางส่วนตัดสินอนาคตไปแล้วอย่าง ควอนซาห์ ในนาทีที่ 88 และ เอนโด ในนาทีที่ 90+6 คือการช่วยชีวิตทีมเอาไว้โดยแท้
อาการปรี่เข้าขอบคุณ เอนโด ของทั้ง โดมินิก โซโบซไล, ฟาน ไดค์ และ อลีสซง ในจังหวะที่ตามซ้อนช่วย แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ได้ทันนั้นบอกกับเราว่ามันเป็นการช่วยป้องกันที่สำคัญจริง ๆ ของกัปตันทีมชาติญี่ปุ่น
เสียงนกหวีดหมดเวลาไม่ได้ให้ความรู้สึกหอมหวานอย่างนี้มานานแล้ว วินาทีนั้นมันแทบไม่ผิดอะไรไปจากเสียงสวรรค์
สถิติยิงประตูในครึ่งหลัง 0-10 ครั้งไม่ได้มีผลอะไรต่อความรู้สึกโล่งใจ มันไม่สลักสำคัญอะไรเลยเมื่อสุดท้ายแล้วทีมเป็นฝ่ายชนะ
แฟนบอลบางคนอาจจะบ่นว่าถ้าเล่นได้แค่นี้ถูกอาร์เซน่อลแซงแน่ หรือบอกว่าถ้าเกมอื่น ๆ ที่เหลือเล่นในสภาพอย่างครึ่งหลังของเกมนี้ก็เลิกคิดเรื่องแชมป์ไปได้เลย
พูดอีกก็ถูกอีกนะครับ.. ถ้าอีก 13 เกมที่เหลือของฤดูกาลจะเล่นได้แค่แบบในครึ่งหลังของเกมนี้ไปตลอดทุกนัด ก็คงจะถูกทีมปืนใหญ่แซงเข้าป้ายแน่ ๆ
ไม่ผิดเลย ที่พูดมา ที่กังวลมานั้น ถูกต้องทุกอย่าง
แต่นั่นคือเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น และจะว่าไปแล้วโอกาสที่ลิเวอร์พูลจะเล่นแบบในครึ่งหลังของเกมนี้ไปตลอดทุกนัดที่เหลือ.. แม้จะมีความเป็นไปได้อยู่บ้างแต่มันก็น้อยนิดเต็มทีนะครับ
ถ้ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ โงหัวไม่ขึ้นจริง ๆ ถูกพับสนามบุกสถิติยิง 0-10 ครั้งในทุกเกมที่เหลือก็ยกแชมป์ให้ทีมอื่นไปเถอะ มันไม่ใช่ผลงานที่ดีพออยู่แล้วสำหรับการเป็นแชมป์
25 เกมที่ผ่านมาลิเวอร์พูลมีผลงานชนะ 18 เสมอ 6 แพ้ 1 ยิงได้ 60 ประตู เสีย 24 ประตู
-ชนะเยอะที่สุด 18 เกม ทิ้งทีมที่ตามมาใกล้ที่สุดถึง 3 เกม (อาร์เซน่อลชนะ 15)
-แพ้น้อยที่สุด 1 เกม และมันเกิดขึ้นตั้งแต่เกมที่ 4 ของฤดูกาล หรือ 5 เดือนเต็ม ๆ เข้าไปแล้ว
-ทำประตูได้มากที่สุด 60 ลูก ทิ้งทีมที่ตามมาใกล้ที่สุดถึง 8 ประตู (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยิง 52)
-เสียประตูน้อยเป็นอันดับสอง 24 ลูก มากกว่าอาร์เซน่อล (เสีย 22 ประตู) แค่ทีมเดียว
-ได้โอกาสยิงประตูมากที่สุด 427 ครั้ง
-ยิงตรงกรอบเยอะที่สุด 166 ครั้ง
-ได้ประตูจากการยิงในเขตโทษมากที่สุด 56 ลูก ทิ้งอันดับสองถึง 10 ประตู (สเปอร์ส 46)
-ได้ประตูจากเกมโต้กลับเยอะกว่าใคร 11 ลูก
-ค่า xG เยอะที่สุด 63.67 ประตู ทิ้งอันดับสองถึง 10.84 ประตู (บอร์นมัธ 52.83)
-เสียจุดโทษแค่ครั้งเดียว น้อยเป็นอันดับสองของลีก (นิวคาสเซิ่ลยังไม่เสียจุดโทษให้ใคร)
-ยังไม่ต้องพูดถึงสถิติส่วนตัวของนักเตะ.. โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กินรวบทั้งเรื่องยิงและจ่าย ในซีซั่นที่เจ้าตัวทำลายสถิติระเบิดระเบ้อ
ยังมีเรื่องดี ๆ อีกมากมายที่ทีมของ อาร์เน่อ เดินหน้าสร้างและสะสมมันมาตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาลเมื่อ 6 เดือนก่อน
ไม่ได้บอกว่าให้ประมาทหรือเลินเล่อเพิกเฉยต่อความกระเสือกกระสนในนัดล่าสุดที่ได้เห็นหรอกนะครับ เพียงแต่เห็นความกังวลสงสัยของแฟนบอลบางส่วนที่มีต่อ 45 นาทีล่าสุดแล้วก็อยากจะพูดถึงเรื่องดี ๆ ที่เราอาจจะลืมไปแล้วบ้าง
Winning ugly คือเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ แม้กับทีมที่เป็นสุดยอด เป็นมหาอำนาจ
เพราะฟุตบอลก็เหมือนชีวิต มีชีวิตใครราบเรียบตลอดทางบ้าง มีใครไม่เคยหกล้มบ้าง มีใครไม่เคยมีวันแย่ ๆ บ้าง
ในการหลุดฟอร์มแค่ 45 นาทีของเกมล่าสุด เมื่อผลลัพธ์ลงเอยด้วย 3 คะแนน มันคือสิ่งล้ำค่าที่สุดเท่าที่เกม ๆ เดียวจะมอบให้กับเราได้แล้ว
เราได้คะแนนเต็ม แถมยังได้การบ้านกลับมาทบทวนตัวเอง ว่าปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ต่อไปจะเอาชนะมันได้อย่างไร
เหมือนที่เคยต้องมาทบทวนความผิดพลาดหลังจากแพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ คาแอนฟิลด์เมื่อเดือนกันยายน แล้วหลังจากนั้นทีมก็ไม่เคยแพ้ใครในลีกอีกเลย
มองด้านแย่ที่สุดเผื่อเอาไว้เป็นเรื่องดีแล้วครับ มันทำให้เราไม่ประมาท แต่อย่าลืมว่าโค้ชและนักฟุตบอลต้องนำมันไปแก้ไขตามหน้าที่อยู่แล้ว เราอาจจะกังวลกับมันได้แต่อย่าให้มันมามีอิทธิพลกับเรามากเกินไปจนใช้ชีวิตไม่เป็นสุข
เอาตัวรอดเกมนี้ให้ได้ก่อน เกมหน้าค่อยว่ากัน.. ช่วงเวลา 20 นาทีสุดท้ายของเกมเมื่อวันอาทิตย์ เราต่างภาวนากันอย่างนี้
เมื่อทำได้แล้ว ดื่มด่ำกับมันดีกว่าครับ ลิเวอร์พูลยังนำ 7 คะแนนโดยที่เกมเตะเหลือน้อยลงไปอีก 1 เกม..
ตังกุย