แมนยู ยังไม่ฟื้นหลังโดน สเปอร์ส จัดการดับซ่าด้วยสกอร์ 0-1 ในเกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยทัพ "ผีแดง" เจอวิกฤติผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บยาวเป็นห่างยาว ขณะที่แนวรุกก็พึ่งพาไม่ได้เลย สำหรับ "ไก่เดือยทอง" สามารถลบอาถรรพ์ที่รอคอยมานานได้สำเร็จด้วยการคว่ำคู่แค้นทั้งเหย้าและเยือนในเกมลีกเป็นครั้งแรกยุคพรีเมียร์ลีก
1. วิกฤตินักเตะบาดเจ็บ
อโมริม อาจจะต้องทำพิธีสเดาะเคราะห์ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่กำลังตามหลอกหลอน แมนยูไนเต็ด ในเวลานี้ เพราะลูกทีมคนสำคัญของเขาหลายรายโดนโรคเดี้ยงเล่นงานจนทำให้พลาดแมตช์เยือน สเปอร์ส
เริ่มตั้งแต่ อาหมัด ดิยัลโล่, มานูเอล อูการ์เต้, โทบี้ คอลลีเยอร์ และล่าสุด ค็อบบี้ เมนู ขณะที่ก่อนหน้านี้ ลิซานโดร มาร์ตีเนซ ก็เพิ่งปิดเทอมไปเรียบร้อยแล้ว แถม คริสเตียน เอริคเซ่น กับ เลนี่ โยโร่ ดันป่วย และนั่นทำให้ อโมริม จำเป็นต้องดันนักเตะดาวรุ่งจากอะคาเดมี่ขึ้นมาช่วยทีมในเกมนี้
นักเตะอย่าง ชิโด โอบี-มาร์ติน, แฮร์รี่ อามาสส์, แจ็ค มัวร์เฮาส์ และ เซกู โกเน่ แม้จะโชว์ฟอร์มได้ดีในเกมระดับเยาวชน แต่สำหรับเกมใหญ่แบบนี้พวกเขายังไม่พร้อมที่จะเป็นที่พึ่งพาได้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ กุนซือชาวโปรตุกีส เปิดตัวแค่คนเดียว ด้วยการส่ง โอบี-มาร์ติน ลงสนามช่วงทดเจ็บ
การขาดขุมกำลังเชิงลึกในยามวิกฤติแบบนี้ทำให้ อโมริม ไม่สามารถปรับแก้แท็กติกอะไรได้มากนัก สิ่งที่ทำได้ก็แค่ประคับประคองทีมเท่านั้น ฉะนั้นสาวก "เร้ด อาร์มี่" คงต้องภาวนาให้แข้งคีย์แมนหายเจ็บให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยทีมในช่วงสำคัญของซีซั่นนี้
2. กาเซมีโร่ หมดสภาพ
ในยามที่ทีมขาดนักเตะตัวหลักไปหลายคน โดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์ นั่นเป็นเหตุผลที่ อโมริม จำเป็นต้องใช้ กาเซมีโร่ ลงเป็นตัวจริง เพราะอย่างน้อยประสบการณ์ของเขาน่าจะสร้างประโยชน์ให้กับทีมได้บ้าง
กระนั้นการที่ ดาวเตะชาวบราซิเลียน ไม่ค่อยได้เล่นในเกมลีกสูงสุดเมืองผู้ดีมาตั้งแต่เดือนธันวาคม นั่นส่งผลกระทบกับผลงานในสนามอย่างเห็นได้ชัด กาเซมีโร่ เจอปัญหาในการเคลื่อนที่หาตำแหน่ง, แรงปะทะก็สู้คู่แข่งไม่ได้ แถมยังโดนแดนกลาง สเปอร์ส เลี้ยงบอลผ่านไปได้แบบสบายๆ
สตาร์ชาวบราซิเลียน ไม่สามารถใช้ประสบการณ์ในการช่วยทีมได้เลย บางจังหวะเสียบอลง่าย และทำให้ทีมโดนสวนกลับ ขณะเดียวกันเวลาที่มีโอกาสจบสกอร์ก็ทำได้ไม่ดี โดยเฉพาะจังหวะที่โหม่งในกรอบเขตโทษโล่ง แต่ดันโหม่งเบาเป็นปุยนุ่น
งานนี้แฟนผีโปรเจกต์อาจต้องทำใจเห็น กาเซมีโร่ ลงเล่นเป็นตัวจริงอีกสักพักใหญ่ เพราะด้วยสถานการณ์นักเตะบาดเจ็บนั่นทำให้ อโมริม ขาดออปชั่นในการแผงมิดฟิลด์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่จะต้องใช้งาน ดาวเตะแดนแซมบ้า ต่อไปอีกสักพักใหญ่ๆ
3. แดนหน้าขาดความเฉียบคม
ตอนนี้ต้องยอมรับว่าแดนหน้าของ แมนยูไนเต็ด ไม่สามารถพึ่งพาได้เลย เพราะทั้ง ราสมุส ฮอยลุนด์, โจชัว เซิร์กซี และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ขาดทั้งความมั่นใจและความเฉียบคมในการจบสกอร์
แมตช์นี้ "ปีศาจแดง" จับทั้งสามคนลงเล่นพร้อมกัน เพราะทีมไม่มีออปชั่นมากนัก แต่แท็กติกนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผลซักเท่าไหร่ เพราะแม้ทีมจะสร้างโอกาสได้แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถฉกฉวยให้เกิดประโยชน์
การ์นาโช่ เป็นคนที่มีโอกาสเยอะที่สุดในแดนหน้า แต่การจบสกอร์น่าผิดหวังมากๆ โดยเฉพาะจังหวะที่ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ส่งบอลถวายพานให้ยิงโล่งๆ แต่เจ้าตัวดันซัดเหินข้ามคานน่าตาเฉย นอกจากนี้ยังมีโอกาสยิงอีก 2-3 ครั้ง แต่ติดเซฟของ กูเยลโม่ วิคาริโอ
ขณะที่ เซิร์กซี ดูเหมือนจะเน้นหนักไปที่การครองบอลซึ่งเจ้าตัวทำได้ดี และเกือบมีลุ้นทำประตูจากลูกโหม่งแต่บอลเฉียดเสาออกไป แต่สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับกองหน้าชาวดัตช์ก็คือความขยันในการลงช่วยเกมรรับ
ส่วนคนที่ต้องบอกว่าน่าผิดหวังมากๆ ก็คือ ฮอยลุนด์ เพราะนักเตะเล่นได้แย่มากๆ การจบสกอร์ก็น่าผิดหวัง การครองบอลก็ทำได้ไม่ดี ขณะที่การสิ่งหาพื้นที่ว่าก็ยังต้องพัฒนาต่อไป
ด้วยสถานการณ์ที่ทีมขาดออปชั่นในแนวรุก งานนี้สาวก "เร้ด อาร์มี่" ต้องทำใจที่จะได้เห็นทั้งสามคนลงสนามอีกหลายเกม แต่อย่าคาดหวังที่จะพึ่งพาพวกเขาในการยิงประตูมากนัก
4. สเปอร์ส ปราบผีเหย้า-เยือนได้ซะที
หากใครที่เป็นคอลูกหนังเมืองผู้ดี จะรู้ได้ทันทีว่า แมนยู กับ สเปอร์ส เปรียบเสมือน "งูเหลือมแพ้เชือกกล้วย" เพราะต่อให้เล่นบ้านใคร เมื่อไหร่ และรายการอะไร บทสรุปสุดท้าย "ผีแดง" มักจะชนะอยู่ดี
อย่างไรก็ตามในฤดูกาลนี้ ทัพ "ไก่เดือยทอง" สามารถลบล้างอาถรรพ์ได้สำเร็จ เพราะพวกเขาสามารถปราบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด (3-0) และในท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สเตเดี้ยม (1-0)
แน่นอนว่าการเก็บชัยชนะทั้งแมตช์เหย้า และเยือนได้นั้นเป็นสิ่งที่สาวก "น้องไก่" ไม่ได้เห็นมานานแล้วในเกมลีก โดยย้อนกลับตอนที่พวกเขาทำผลงานได้แบบนี้เกิดขึ้นในซีซั่น 1989-1990 ซึ่งตอนนั้นลีกสูงสุดเมืองผู้ดียังใช้ชื่อ ดิวิชั่น 1 อยู่เลย
นอกจากจะชนะในเกมลีก 2 แมตช์แล้ว สเปอร์ส ยังตอกย้ำความแค้นให้กับ แมนยู ด้วยการชนะพวกเขาในเกม คาราบาว คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ ต้องบอกว่านี่คือซีซั่นที่แฟนบอลน้องไก่ประทับใจมากๆ
อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้ก็คือ สเปอร์ส หยุดสถิติย่ำแย่ในการเล่นในบ้านตัวเองได้ซะที ด้วยการเก็บชัยชนะในบ้านหนแรกรอบ 8 แมตช์ในเกมลีก และหวังว่านี่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทีมของกุนซือแอนจ์ ปอสเตโคกลู กลับมามีฟอร์มที่กระเตื้องขึ้น
5. สถานการณ์ชักน่าเป็นห่วง
ตอนนี้ใครที่เป็นสาวก "เร้ด อาร์มี่" คงเริ่มรู้สึกระส่ำระส่ายกับอนาคตของทีมในยุคอโมริม เพราะผลงานแพ้เป็นว่าเล่นทำให้สถานการณ์ในตารางลีกชักเริ่มน่าเป็นห่วงมากยิ่งขึ้นแล้ว
แมนยู หล่นไปอยู่อันดับ 15 มี 29 คะแนนจากการลงแข่ง 25 เกม และโปรแกรมที่ต้องลงสนามค่อนข้างอันตราย เพราะมีหลายเกมที่ค่อนข้างอันตราย และอาจส่งผลต่อผลการแข่งขันของพวกเขา
แม้ว่า "ปีศาจแดง" จะมีแต้มเหนือกว่าโซนตกชั้น 12 คะแนน แต่โปรแกรมลีกยังเหลืออีก 13 แมตช์ และถ้า อโมริม ไม่สามารถแก้ปัญหาและเรียกความมั่นใจของลูกทีมกลับมาได้ งานนี้พวกเขาอาจจะต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่ออยู่รอดในลีกสูงสุดเมืองผู้ดี
แน่นอนว่า "เร้ด เดวิลส์" ยังมีลุ้นความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลถ้วยทั้ง เอฟเอ คัพ และ ยูโรปา ลีก แต่พวกเขาต้องโฟกัสสถานการณ์ในเกมลีก เพราะถ้าเกิดพลาดท่าอีก 2-3 เกมข้างหน้า งานนี้บอกเลยว่าอันตรายมาเยือนถึงหน้าบ้านแหงๆ
ทอมเม้ง