ครบทุกรส เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ มีคนเล่นไม่ออกทำเกม ลิเวอร์พูล ฝืด

ครบทุกรส เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ มีคนเล่นไม่ออกทำเกม ลิเวอร์พูล ฝืด
การพบกันระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ ลิเวอร์พูล นัดล่าสุด น่าจะเป็น เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ แมตช์ ที่เข้มข้นที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมา

เหตุการณ์อะไรหลาย ๆ อย่าง 

บรรยากาศสั่งลาดั่งว่าเป็นวันสุดท้าย

การทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน

ประตูตีเสมอของเจ้าถิ่น

และเรื่องดราม่าตอนสิ้นเสียงนกหวีด

ทุกเรื่องเหล่านั้น ก่อให้เกิดเกมฟุตบอลที่กลิ่นไอราวกับสงคราม

ตอนจัดรายการกับพี่กุ่ย ตังกุย กับ พี่หนุ่ม แจ็คกี้ ผมคิดว่ามันจะง่ายกว่านี้ เมื่อเจอกับ เอฟเวอร์ตัน ของ เดวิด มอยส์ 

เพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น คือหนึ่ง ผู้เล่นของเราได้พักมาเต็ม ๆ ผิดกับ เอฟเวอร์ตัน ที่ใช้ชุดหลักลงเตะแพ้ บอร์นมัธ

บอลสไตล์ มอยส์ ต่างจาก ฌอน ไดซ์ ซึ่งแบบนี้ ลิเวอร์พูล ไม่กลัว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้น เอฟเวอร์ตัน ใส่หนักตั้งแต่ต้น 

พวกเขาทุ่มเท เล่นด้วยความมุ่งมั่น บวกเสียงเชียร์จากเหล่าเอฟเวอร์โตเนี่ยน เป็นเกราะกำบัง เป็นแรงขับให้ทะยานเล่นงาน ลิเวอร์พูล

มอยส์ เซตระบบดักจังหวะขึ้นเกมของ ลิเวอร์พูล ใช้สองคน เบโต้ กับ อับดูลาย ดูกูเร่ วิ่งบังทางบอลไม่ให้มาถึง ไรอัน กราเฟนแบร์ก

สถิติของ กราเฟนแบร์ก คือได้จ่ายบอลแค่ 18 ครั้ง(เข้าเป้า 16) สัมผัสบอลเพียง 24 ครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงการถูกจำกัดการเล่นด้วยแทคติค เอฟเวอร์ตัน 

มิดฟิลด์หนุ่มดัตช์ เล่นไม่ออก ไร้อิทธิพลตรงแดนกลาง โดนจำกัดพื้นที่จนกระทั่งถูกเปลี่ยนตัวออกตอนนาที 60 

สำรองที่ อาร์เน่อ ส่งลงมา ล้วนแต่เป็นการเปลี่ยนแล้วได้ผล ไม่ว่าจะ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เคอร์ติส โจนส์, คอสตาส ซิมิกาส และ ดาร์วิน นูนเญซ

แล้วนาที 73 โม ซาลาห์ ก็กระทุ้งประตูพลิกแซงนำ และทำสถิติแซงหน้า แอนดี้ โคล ในการมีส่วนร่วมกับประตู(ทั้งยิงทั้งจ่าย) กับการเล่นเป็นทีมเยือน 

โดยตอนนี้ ซาลาห์ มีส่วนร่วม 23 ลูก 13 ประตูกับอีก 10 แอสซิสต์

เมื่อ ลิเวอร์พูล ออกนำ 2-1 โอกาสการทำประตูของ เอฟเวอร์ตัน ไม่ได้มีมากนัก แต่พวกเขายังคงความมุ่งมั่น และแสดงสปิริตสู้ไม่ถอย จนสุดท้ายได้ประตูจาก เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ ตอนนาที 90+8

มันคือแต้มที่ไม่มาไม่เท่ากับชัยชนะ ทว่าในแง่ความรู้สึกมันส่งผลต่อ เอฟเวอร์ตัน เหลือล้น

ล้นจน ดูกูเร่ เลือกไปฉลองหนึ่งแต้มต่อหน้าหมู่เดอะ ค็อป แล้วจุดประกายให้ โจนส์ ซึ่งเป็นสเกาเซอร์ ตอบโต้ด้วยการปรี่เข้าไปหา และเกิดการเผชิญหน้ากันของทั้งคู่

ผลที่ตามมา โจนส์ โดนใบเหลืองที่สอง เช่นเดียวกับ ดูกูเร่ ที่รับไปเช่นกัน

"เราเห็นกันแล้วว่าพวกเขาฉลองประตูกันแบบไหน แน่นอนว่าพวกเขามีสิทธิ์ที่จะฉลองยังไงก็ได้ตามที่พวกเขาต้องการ" ฟาน ไดค์ ที่รับหน้าที่ให้สัมภาษณ์หลังเกมเผยถึงจังหวะชุลมุนนั้น

"แต่ผมคิดว่า อับดูลาย ดูกูเร่ อยากยั่วยุแฟนบอลของเรา จากมุมมองของผมน่ะ ผมคิดว่านั่นคือจุดประสงค์ของเขา และ เคอร์ติส โจนส์ ก็คิดว่านั่นเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม"

"มันเป็นการยั่วยุแบบรุนแรงจากนักเตะคนหนึ่ง เราทุกคนต่างก็เห็นมันและต้องตอบโต้ในฐานะทีมในจุดที่เราสามารถทำได้"

"คุณก็รู้ดีว่าทุกวันนี้ถ้ามีการกระทบกระทั่งแค่นิดหน่อยแล้วน่ะมันก็มีโอกาสบานปลายจนเกิดเรื่องร้ายแรงได้ ซึ่งพอเกิดเรื่องแบบนั้นแผมก็ไม่ใช่คนที่ต้องรับมือกับเรื่องนั้น"

"มันเป็นหน้าที่ของกรรมการ และผมคิดว่าวันนี้เขาคุมสถานการณ์ได้ไม่ดีอย่างเต็มที่ ผมคิดว่ากรรมการคุมเกมได้ไม่ดีพอ ผมบอกกับเขาไปแบบนั้นด้วย"

"นี่เป็นเหมือนนัดชิงชนะเลิศของรายการฟุตบอลถ้วยสำหรับอีกฝ่าย ผมคิดว่ากรรมการมีส่วนอย่างมากที่ทำให้สถานการณ์มันกลายเป็นแบบนี้เมื่อพิจารณาถึงเรื่องที่การเข้าสกัดบางจังหวะถูกเป่าให้เป็นการฟาวล์ แต่ในชอตที่คล้าย ๆ กันในอีกจังหวะหนึ่งกลับโดนปล่อยผ่าน"

แต่มิเพียงเท่านั้น อาร์เน่อ กับผู้ช่วยอย่าง ซิปเค่ ฮุลชอฟฟ์ ถูกใบแดงไปเป็นของกำนัล โทษฐานที่เข้าไปคุยกับ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ 

ทั้งสองคนจะไม่ได้ทำหน้าที่ข้างสนามในเกมเจอ วูล์ฟส์ สุดสัปดาห์นี้

เขียนมาหลายบรรทัด ยังไม่ได้พูดถึงการทำหน้าที่ของ โอลิเวอร์ คนนี้เลย

ย้อนไปหลายปี ผู้คนต่างพาหาว่านี่คือคนที่ตัดสินเป็นประโยชน์ให้ ลิเวอร์พูล จนถูกเรียกว่า โอลิเวอร์(พูล)

ใครจะคิดแบบนั้นก็ช่าง แต่ส่วนตัวผมไม่เคยมองอะไรแบบนั้น

ยิ่งเกมนี้ การทำงานของเขามันมีอะไรให้พูดถึงเยอะ เยอะจนเรียงออกมาได้หลายบรรทัด

เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เองก็บอกว่า กรรมการท่านนี้ "ควบคุมเกมไม่ได้"

ใช่ครับ เขาควบคุมเกมไม่ได้จริง ๆ และเพิ่มไปอีกอันคือ "ไม่ทันเกม"

เขาไม่ทันเล่ห์ของเจ้าถิ่นที่พยายามทิ้งตัวเอาฟาวล์ และเป็นเหตุให้ ลิเวอร์พูล ถูกขึ้นนำก่อน

เกิดเหตุการณ์คล้ายกันอีกครั้ง ซึ่ง โอลิเวอร์ ก็กระทำซ้ำเดิม

ไหนจะตอน อิลิมาน เอ็นดิยาย ได้บอลแล้วอยู่ ๆ เตะขุดดินเอง แต่พี่เขาก็หยุดเกมให้ เอฟเวอร์ตัน ได้ประโยชน์

ที่เข้าตามากสุดคือช่วงทดเจ็บ ซาลาห์ พาบอลแหวกแนวรับจนเกือบถึงหน้ากรอบเขตโทษ แล้วโดนเตะดื้อ ๆ 

แต่ขุ่นพระ!! ท่านพี่ไมเคิล ที่อยู่ห่างไม่กี่หลา กลับเพิกเฉย 

นี่ไม่ใช่จะมาหาข้ออ้างหรือบอกว่า เหตุที่ ลิเวอร์พูล ได้หนึ่งแต้มเป็นเพราะผู้ตัดสิน

เพียงแต่ไล่เรียงเหตุการณ์ว่า เมอร์ซี่ย์ ไซด์ ดาร์บี้ หนสุดท้ายที่ กูดิสัน พาร์ค มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง

สิ่งที่น่าชื่นชมคือการแสดงออกของ ฟาน ไดค์ 

พลันหลัง อาร์เน่อ โดนใบเหลือง เขาคือคนที่เข้ามาเคลียร์ และพยายามบอกไม่ให้เพื่อนร่วมทีมเข้ามาใกล้ผู้ตัดสิน

ความรู้สึกของ ฟาน ไดค์ เชื่อเถอะ เขาคงไม่ต่างจากนักเตะ ลิเวอร์พูล คนอื่น แต่เขาคือพี่ใหญ่ เป็นกัปตัน และจำเป็นต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากที่สุด

เขาไม่ใช่เพียงแค่เป็น Captain เขาเป็น Leader ที่สามารถเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นได้

ผลเสมอมีความหมายต่างกันต่อทั้งสองทีม 

สำหรับ เอฟเวอร์ตัน พวกเขาได้สร้างความทรงจำอันสวยงามในการบอกลาสนาม 

ส่วน ลิเวอร์พูล อาจต้องเผชิญกับกดดันที่มีโอกาสทิ้ง 9 คะแนน แต่เหลือ 7 

อาร์เน่อ ต้องจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้นและนำทีมกลับมาให้ได้

-HOSSALONSO-


ที่มาของภาพ : Gettyimages
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport