ในที่สุด มาร์คัส แรชฟอร์ด ตัดสินใจย้ายออกจาก แมนยู ไปร่วมทีม แอสตัน วิลล่า ด้วยสัญญายืมตัวโดยมีอ็อปชั่นซื้อขาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังโดน รูเบน อโมริม กุนซือโปรตุกีสหั่นออกจากทีมนานถึง 12 นัด สตาร์วัย 27 ปีก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องโบกมือลา โอลด์ แทรฟฟอร์ด เพื่อหาโอกาสสร้างชื่อกับสโมสรอื่น
แม้จะตกเป็นเป้าหมายของทั้ง เอซี มิลาน และ บาร์เซโลน่า ถึงขั้นที่ตัวแทนของเขาเจรจากับสองทีมยักษ์ในยุโรปแล้ว แต่ดีลกับสองสโมสรไม่มีทางเป็นไปได้เนื่องจากค่าแรงที่สูงปรี๊ดของเขา
กระทั่งท้ายที่สุด แอสตัน วิลล่า ปราดเข้ามาทาบทาม แรชฟอร์ด หลังจากพวกเขาเสีย จอน ดูราน ที่เลือกย้ายไปขุดทองกับ อัล นาสเซอร์ ในลีก ซาอุดิ อาระเบีย ซึ่งส่งผลให้ สิงห์ผงาด มีกำลังทรัพย์ที่สามารถจ่ายค่าแรงส่วนใหญ่ของดาวยิงอิงลิชร่วมกับ ผีแดง ได้เพื่อนำเขามาแทนที่หัวหอกทีมชาติ โคลอมเบีย
และก่อนที่จะรอลุ้นกันว่า แรชฟอร์ด จะไปได้สวยกับทีมดังแห่งมิดแลนด์ภายใต้การกุมบังเหียนของ อูไน เอเมรี่ หรือไม่ เรามาย้อนดูปูมหลังของเขา รวมทั้งผลงานกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งในช่วงที่ดีและร้ายกันก่อนดีกว่า
- ปูมหลัง
แรชฟอร์ด เข้ามาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ และพังประตูได้ 138 ลูกจาก 426 นัดนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเล่นให้ทีมชุดใหญ่ในปี 2016 แต่เขาไม่ได้ลงสนามอีกเลยนับตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.
จากจำนวนประตูของเขา 87 เม็ดอุบัติขึ้นในเกม พรีเมียร์ลีก ซึ่งทำให้เขารั้งอันดับแปดดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของ ผีแดง โดยมี โอเล่ กุนนาร์ โซลชา (91) และ เอริค คันโตน่า (64) คั่นกลาง
แรชฟอร์ด แอสซิสต์ประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ได้รวม 40 เม็ด
หากไม่ได้กลับมาร่วมทีม แมนฯ ยูไนเต็ด อีก แรชฟอร์ด จะทิ้งผลงานกับสโมสรเอาไว้ที่การยิงประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ได้ทุกๆ 226 ประตู หรือมีส่วนกับทุกประตู (ยิงหรือจ่าย) ในทุกๆ 155 นาที
- จุดสูงสุด
แรชฟอร์ด ได้ประเดิมสนามในเกมยุโรปปี 2016 ขณะมีอายุ 16 ปีนัดดวลกับ มิดทิลแลนด์ ในศึก ยูโรปา ลีก
ซีซั่นที่ดีที่สุดของเขาคือซีซั่น 2022/23 ซึ่งเขาเช็กบิลในเกมลีกได้ 17 ประตู และ 30 ประตูในทุกรายการ
ก่อนหน้านี้ในซีซั่น 2019/20 แรชฟอร์ด กระทุ้งประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ได้ 17 เม็ดเช่นกัน รวมทั้งสิ้นมีอยู่สามซีซั่นที่เขาสอยตาข่ายในทุกรายการได้เกิน 20 ประตู
แรชฟอร์ด ซัดประตูที่สองของเกมพา แมนฯ ยูไนเต็ด สยบ นิวคาสเซิ่ล 2-0 ในนัดชิงดำถ้วย คาราบาว คัพ ซีซั่น 2022/23 หลังได้แชมป์ ยูโรปา ลีก กับทีมในปี 2017 จากเกมชนะ อาแจ็กซ์ 2-0
ได้แชมป์รายการใหญ่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด รวมห้ารายการแบ่งเป็น เอฟเอ คัพ สองครั้ง ,ลีก คัพ สองครั้ง และ ยูโรปา ลีก
ได้ตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของ พรีเมียร์ลีก จากการโหวตของแฟนบอลในซีซั่น 2022/23 เช่นเดียวกับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในซีซั่นเดียวกันสองสาขาจากทั้งการโหวตเสียงของเพื่อนร่วมทีม และสาวก เร้ด อาร์มี่
ครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดร่วมของศึก ยูโรปา ลีก ในซีซั่นนี้เช่นกันจากผลงานหกประตู และได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของ พรีเมียร์ลีก สี่ครั้งโดยสามครั้งเกิดขึ้นในซีซั่น 2022/23
- จุดต่ำสุด
หลังกระหน่ำได้ 30 ประตู ซีซั่นต่อมา แรชฟอร์ด คลำเป้าได้แค่ 8 เม็ดเท่านั้นในทุกรายการภายใต้การคุมทีมของ เอริค เทน ฮาก เช่นกัน
ซีซั่นนี้ เขาได้ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก แค่ 983 นาที และไม่ได้ลงเล่นอีกเลยนับตั้งแต่เกมแพ้ ฟอเรสต์ วันที่ 7 ธ.ค.
นับตั้งแต่ อโมริม ย้ายมาคุมทีม ผีแดง เมื่อเดือนพ.ย. แรชฟอร์ด ได้ลงบู๊แค่หกนัดเท่านั้นในทุกรายการโดยได้ออกสตาร์ตสามนัด
หลังพังประตูในทุกรายการได้ด้วยเลขสองหลักห้าซีซั่นติดต่อกัน แรชฟอร์ด สร้างผลงานดังกล่าวได้อีกแค่ซีซั่นเดียวเท่านั้น
- ทีมชาติ
ติดทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกในยุคของ รอย ฮ็อดจ์สัน และเป็นคีย์แมนของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เช่นกัน แต่หลังจากมีฟอร์มที่ตกต่ำกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เขาก็ถูกมองข้ามในการประกาศรายชื่อนักเตะชุดสู้ศึก ยูโร 2024
มีการคาดหมายว่า โธมัส ทูเคิ่ล นายใหญ่ ทรี ไลอ้อนส์ คนปัจจุบันพร้อมเปิดทางอ้าแขนต้อนรับ แรชฟอร์ด แต่ต้องรอลุ้นกันว่าเขาจะเรียกฟอร์มสุดยอดกลับคืนมาในยูนิฟอร์มหมายเลข 9 ของ สิงห์ผงาด ได้หรือไม่
รวมแล้ว แรชฟอร์ด ติดธงไปทั้งสิ้น 60 นัด และยิงได้ 17 ประตู
ในจำนวนนี้ 16 ประตูเกิดขึ้นในยุคของ เซาธ์เกต โดยมี แฮร์รี่ เคน (61) กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง (18) สองรายเท่านั้นที่สอยตาข่ายได้มากกว่าในการคุมทีมของบิ๊กบอสอิงลิช
นัดสุดท้ายที่ แรชฟอร์ด ได้ลงเล่นให้ สิงโตคำราม เป็นเกมบู๊กับ บราซิล ในเดือนมี.ค.2024 ขณะที่ประตูสุดท้ายของเขาเกิดขึ้นในเกมโม่เกือกกับ อิตาลี เดือนต.ค.2023
หลังไม่ได้ติดธงในทัวร์นาเมนต์ ยูโร 2024 แรชฟอร์ด ไม่ได้ลงเล่นให้ เซาธ์เกต ในสิบนัดสุดท้ายของเขา รวมทั้งหกนัดที่ ลี คาร์สลีย์ คุมทีมแบบขัดตาทัพด้วย