ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายน ผมทิ้งท้ายในโพสต์ที่เขียนถึง อาร์เซน่อล ในเกมที่พวกเขาเกือบจะบุกไปชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึงถิ่นว่า..
"มาวันนี้ ลองสังเกตตัวเองกันอีกครั้ง.. กูนเนอร์สทั้งหลายมาถึงวันที่ตัวเองรู้สึกเสียดายที่ไม่ชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในถิ่นสีฟ้าแล้ว
"จากวันที่กระทั่งเล่นในบ้านยังรับสภาพ ทำใจรอแพ้ มาสู่วันนี้ที่ต้องเสียดายกับการไม่ชนะในเอติฮัด สเตเดี้ยม
"มันอาจเป็นพัฒนาการที่น่าพึงพอใจที่สุดก็ได้นะครับสำหรับแฟนบอลทีมปืนใหญ่"
ครับ.. ยังจำความรู้สึกในวันนั้นกันได้ใช่ไหม ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ความรู้สึกว่าเสียดาย.. ที่เกือบจะบุกไปเอาชนะซิตี้ได้ถึงถิ่น
สี่เดือนเศษผ่านไป แน่นอนอาจมีคำถามและความไม่มั่นใจเกิดขึ้นระหว่างทางมากมาย
ทีมแพ้บอร์นมัธ แพ้นิวคาสเซิ่ล เสมอฟูแล่ม เสมอเอฟเวอร์ตัน เสมอไบรท์ตัน เสมอแอสตัน วิลล่า
ตามหลังลิเวอร์พูล 6 แต้มแถมลงเตะมากกว่าอีกนัด..
มิเกล อาร์เตต้า ยังเป็นคนที่ใช่อยู่ไหม..
บางคนว่าใช่ บางคนว่าไม่ใช่
แต่จะดีจะแย่อาร์เซน่อลก็ยังอยู่ในข่ายของทีมลุ้นแชมป์ เป็นทีมที่อยู่ใกล้จ่าฝูงลิเวอร์พูลมากกว่าใคร และเพิ่งจะปราชัยไปเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้นในลีกที่ได้ชื่อว่ามาตรฐานสูงลิบ ทุกทีมสามารถเอาชนะกันได้หมด
ทีมปืนใหญ่ไม่แพ้ใครมา 14 นัดติดต่อกันหรือ 3 เดือนเข้าไปแล้วนะครับ นับตั้งแต่แพ้ทีมสาลิกาดงที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน
แฟนบอลย่อมต้องการความสมบูรณ์แบบ ทีมต้องไม่พลาดเลย ต้องชนะได้ทุกเกม แต้มต้องไม่ตกหล่น กองหน้าต้องยิงได้ กองหลังต้องไม่เสียประตู กองกลางต้องข่มคู่แข่งมิด ต้องชนะและชนะอย่างสวยงามด้วย
หลายครั้งที่เราแฟนบอลก็แสดงอารมณ์หงุดหงิดไปหน่อยจนลืมคิดไปว่าผู้จัดการทีมและนักฟุตบอลก็เป็นคนธรรมดา มีวันดี มีวันแย่ มีเกมที่ดี มีเกมที่แย่ อีกทั้งยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้อย่างการเตรียมความพร้อมของคู่ต่อสู้ที่เขาก็มีมือมีเท้าและมีดีเหมือนกัน
ในวันที่อะไรไม่เป็นใจ อาร์เตต้าและลูกทีมของเขาได้แต่ก้มหน้าก้มตารับเสียงด่าทอดูถูกดูแคลนทั้งจากพวกเดียวกันและคนอื่น ๆ ทำงานหนักเพื่อแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาให้ดีขึ้น มั่นคงขึ้น สม่ำเสมอขึ้น
เกมถล่ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5-1 เมื่อคืนวันอาทิตย์คงไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนอะไรหรอกครับ ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบที่จะคงอยู่ตลอดไปด้วย
ไม่วันหน้าก็วันอื่น ๆ ข้างหน้า ไม่ฤดูกาลนี้ก็ฤดูกาลอื่น ๆ ข้างหน้า.. ที่อาร์เซน่อลจะต้องสะดุดอีกครั้ง รอยยิ้มจะหายไปอีกหนและเสียงโวยวายด่าทอทุกอย่างที่ไม่ได้ดั่งใจจะหวนคืน
ไม่ใช่แค่อาร์เซน่อลทีมเดียว.. ทุก ๆ ทีม ทุก ๆ คนต่างไม่เคยหนีวังวนนี้ได้พ้น มันเป็นธรรมชาติของทุกชีวิตบนโลกใบนี้
เพียงแต่ผมอยากจะยินดีด้วยกับอาร์เตต้าและทีมของเขามากกว่า ยินดีด้วยจากใจจริงว่ามันคือรางวัลที่พวกเขาควรจะได้รับ
อาร์เตต้าทำงานของเขาหนักมากนะครับ ถ้าจะลองมองย้อนกลับไปดูอีกครั้ง ณ วันแรกที่เขาเข้าไปรับตำแหน่งเมื่อ 6 ปีก่อน (ธันวาคม ปี 2019) อาร์เซน่อลมีสภาพอย่างไร เล่นฟุตบอลอย่างไร เต็มไปด้วยความสงสัยกังวลอย่างไร
แล้ววันนี้ฟุตบอลของอาร์เซน่อลเป็นอย่างไร เจริญเติบโตงอกงามอย่างไรและน่าภาคภูมิใจอย่างไร
ใครจะมองอย่างไรผมไม่รู้ แต่สำหรับผม มันคือผลงานระดับมาสเตอร์พีซ อาจยังไม่ยิ่งใหญ่เหมือนการปฏิวัติของอาร์แซน เวนเกอร์ หรอก แต่มีกลิ่นอายเดียวกัน
เขาเข้ามาเปลี่ยนอาร์เซน่อล..
แน่นอนครับ เส้นทางจากนี้ยังอีกยาวไกล ฤดูกาลไม่ได้จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้งแค่การถล่มทีมเรือใบสีฟ้าในเกมนี้ ยังเหลืออีก 14 เกมที่ไม่รู้หรอกว่ามันจะลงเอยอย่างไร
อาจจะดีก็ได้ หรืออาจจะหกล้มอีกก็ได้
แต่อาร์เซน่อลที่ผมเห็นในวันนี้คือทีมที่พัฒนาขึ้นจากเดิมอย่างน่าชื่นใจแทนคนเป็นแฟนบอล ได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว 2 ปีติดต่อกัน และยังมีโอกาสทำมันอีกเป็นปีที่สาม
เล่นฟุตบอลสมัยใหม่ ระบบลงตัว สวยงามไหลลื่นมีประสิทธิภาพ เดินเกมรุกต่อเนื่อง เพรสซิ่งดุดัน โอเพ่นเพลย์ดี ลูกนิ่งอันตราย อาวุธเต็มมือ
กองหน้าที่ว่าแย่ ๆ จนบางคนด่าเช้าด่าเย็นราวกับเป็นตัวอะไรที่น่ารังเกียจ แล้วยังพาลไปด่าอาร์เตต้าว่ามองไม่เห็นปัญหา แต่อาร์เซน่อลก็ยังยิงประตูได้มากเป็นอันดับสองของลีกเป็นรองแค่ลิเวอร์พูลทีมเดียว
ผมไม่คิดว่าอาร์เตต้าและทีมงานมองไม่เห็นหรืออยู่เฉย ๆ ไม่ทำอะไรหรอกครับ เพราะถ้าเขาอยู่เฉย ๆ อาร์เซน่อลคงไม่มีทางเปลี่ยนวิธีเล่นของตัวเองได้อย่างวันนี้แน่
พวกเขาเห็น และกำลังทำงานของตัวเอง ด้วยวิธีการที่กำหนดเอาไว้ อาจไม่รวดเร็วฉับไวถูกใจกองเชียร์หรอก แต่มันก็เป็นไปตามกระบวนการทำงานที่มีแบบแผนซึ่งเราไม่มีทางรู้ว่าเป็นอย่างไร ติดขัดอะไรตรงไหนบ้าง
บางทีวิธีการที่คิดไว้ก็อาจได้ผล หรืออาจจะไม่ได้ผล ถ้าสุดท้ายวิธีการนั้นไม่เวิร์กก็เปลี่ยนแปลง เท่านั้นเอง
ทุกการทำงานย่อมมีอุปสรรคอยู่แล้ว ทีมนี้อุปสรรคอย่างนั้น ทีมนั้นอุปสรรคนู้น คนทำงานก็มีหน้าที่แก้ไขมันและพัฒนาตัวเอง
--------------------
อาร์เซน่อลเคยแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 15 จาก 16 เกมที่พบกัน
เคยแพ้ทีมเรือใบสีฟ้าแบบไป-กลับในลีก 6 ปีซ้อน.. เป็น 12 เกม 36 คะแนนเต็ม ๆ ที่ไม่มีแต้มติดมือเลยแม้แต่แต้มเดียว
เคยโดนทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถลุงเป็นลูกไล่ เล่นที่ไหนสกอร์ที่ออกมาก็น่าอับอาย แพ้ 1-3 สามครั้ง แพ้ 0-3 สี่ครั้ง แพ้ 1-4 สองครั้ง แพ้ 0-5 อีกหนึ่งครั้ง..
ลงสนามไปเหมือนโดนเล่นลิงชิงบอล ไม่เจอบอล เสียบอล โดนยิง.. ไม่เจอบอล เสียบอล โดนยิง..
ไม่เจอบอล เสียบอล.. แล้วก็โดนยิง..
ถูกดึงนักเตะตัวหลักไปคนแล้วคนเล่า เอ็มมานูเอล อเดบายอร์, กาแอล กลิชี่, โคโล่ ตูเร่, บาการี่ ซาญ่า, ซามีร์ นาสรี่.. ล้วนไปสร้างโปรไฟล์ความสำเร็จให้ตัวเองในถิ่นอีสต์แลนด์สทั้งหมด
แล้วกระทั่งวันหนึ่ง มันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
นั่นล่ะครับ ลองสังเกตตัวเองกันอีกสักครั้ง.. ความรู้สึกที่มีต่อเกมพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นเปลี่ยนไปแล้ว
จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว.. มันก็เปลี่ยนไปแล้ว
แน่นอนมันคือเกมอันตราย แต่ข้าไม่กลัวพวกเอ็งอีกแล้ว ไอ้ที่เคยยอมรับสภาพตั้งแต่ก่อนเตะว่า ตายแน่ โดนแน่ เละแน่.. ไม่มีอีกแล้ว
จากวันที่รู้สึกเสียดายที่ไม่ชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในถิ่นสีฟ้า มาถึงวันนี้ วันที่ได้ปลดแอกทางอารมณ์ครั้งใหญ่ด้วยชัยชนะหมดจดบนเกมที่สมบูรณ์แบบ
ไม่มีอะไรจะงดงามไปกว่านี้อีกแล้ว
90 นาทีของเกมที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ทุกอย่างปรากฏสู่สายตาพวกเราทุกคนหมดแล้ว มันยืนยันกับเราด้วยสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เลย
ทุกสิ่งที่เคยถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กระทำใส่ อาร์เซน่อลเอาคืนมันได้ทั้งหมด
-จากที่เคยถูกไล่ล่าแย่งบอลครั้งแล้วครั้งเล่าขณะพยายามตั้งเกมหน้าเขตโทษ กลายมาเป็นเพรสซิ่งดุดันใส่และแย่งบอลซิตี้ตั้งแต่แดนบนได้ตลอดบ้าง
ประตูขึ้นนำ 1-0 จาก มาร์ติน โอเดการ์ด ลูกยิงโล่ง ๆ ไม่เข้าเหลือเชื่อจาก ไค ฮาแวร์ตซ์ และโอกาสอีกมากมายหลายครั้งในเกมนี้มาจากการเล่นแบบนี้
-จากที่เคยถูกกดให้ต่อบอลไม่ได้ต้องเตะทิ้งแล้วก็โดนเก็บบอลจังหวะสองเอามาบุกใส่ต่อราวกับเตะอัดกำแพงก็กลายมาเป็นดันสูงไปบีบให้แข้งเรือใบต้องเตะทิ้งแล้วตัวเองดักเก็บง่าย ๆ มาบุกต่อเช่นกัน
-จากที่เคยโดนนำห่าง และซิตี้ปล่อยให้ครองบอลบุกเข้าใส่ก่อนจะโดนดักแย่งบอลแล้วโต้กลับไปยิงประตูเพิ่มลูกแล้วลูกเล่า ก็กลับตาลปัตร
พวกเขาทำกับซิตี้แบบเดียวกันเลย
บอลโต้ขึ้นไปจบที่การยิงของ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ซึ่ง สเตฟาน ออร์เตก้า ปัดทิ้งได้ บอลโต้กลับที่ไปจบด้วยประตูแก้ตัว 4-1 ของ ฮาแวร์ตส์ และจังหวะโต้เจ็บ ๆ อีกหลายครั้ง มาจากการเล่นแบบนี้
-จากเกมที่เคยถูกควบคุมทุกอย่าง หัวหมุนเหมือนเป็นหนูตัวน้อยถูกแมวแกล้งแหย่ไล่ตบ ก็กลายเป็นฝ่ายกำหนดการเล่นอย่างสบายใจ ผ่อนเกมลงเหมือนคลายการบีบ แล้วในทันทีทันใดก็เร่งเครื่องไล่แดนบนเอาบอลมายิงได้อีก
ประตูปิดท้าย 5-1 คืออย่างนั้น บอลเคาะกันไปมาช้า ๆ สิบกว่าหนทางฝั่งซ้าย แล้วฉับพลัน ดีแคลน ไรซ์ ก็วางยาวข้ามไปฟากขวาให้ อีธาน วาเนรี่ แต่งบอลปั่นเสียบเสาไกล
-จากจังหวะที่เคยผิดพลาดแค่ทีเดียวแล้วโดนลงโทษอย่างเจ็บปวด ก็กลับเป็นทำร้ายซิตี้ได้จากความผิดพลาดเองเช่นกัน
ประตู 2-1 จาก โธมัส ปาร์เตย์ คือลูกนั้น ตัดการผ่านบอลที่ไม่ละเอียดของ ฟิล โฟเด้น แล้วจบด้วยการยิงแฉลบตุงตาข่าย
-จากที่เคยหัวหมุนประกบตัวไม่ทันและหลุดพื้นที่รับผิดชอบเพราะถูกนักเตะซิตี้เปลี่ยนตำแหน่งเข้าทำ ก็กลับมาเป็นทำใส่พวกเขาแทน
ไรซ์ ฉีกมารับบอลริมเส้นฝั่งซ้าย ไมล์ส ลูอิส-สเคลลี่ ขยับเข้าไปยืนตัวในรอรับบอลหน้าเขตโทษแทน มันจบด้วยประตู 3-1 และค่ำคืนที่น่าจดจำของไอ้หนูวัย 18
-จากที่เคยโดนนำเกมขาดจน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถเปลี่ยนนักเตะตัวหลักออกไปพักเพื่อเปิดโอกาสให้ตัวสำรองหรือดาวรุ่งได้ลงสนาม ก็กลับกลายเป็นภาพตรงข้ามบ้าง
ถอด โอเดการ์ด กับ เลอันโดร ทรอสซาร์ ออกมาพักสำหรับเกมต่อไป แล้วส่ง วาเนรี่ กับ มิเกล เมริโน่ ลงไปแทนหลังนำห่าง 4-1
-จากที่วิ่งไล่จนหมดแรง อับอายขายหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ตัวว่าเล่นต่อไปก็มีแต่จะโดนเพิ่มจนอยากให้กรรมการเป่านกหวีดจบเกมให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเวลายังไม่หมด นั่นก็อีกเช่นกันที่กลับมาเป็นความรู้สึกที่นักเตะซิตี้ต้องเจอเสียเอง
-จากที่เคยถูกเล่นลิงชิงบอลใส่ เสียงเฮ "โอเล่" "โอเล่" ในทุกจังหวะที่บอลออกจากเท้าดังขึ้นอย่างสนุกสนานจากกองเชียร์ซิตี้ ก็กลายมาเป็นเดอะกูนเนอร์สได้ร้อง "โอเล่" ใส่คู่แข่งสีฟ้าบ้าง
การถูกคู่แข่งต่อบอลตรงหน้าให้วิ่งไล่เหมือนเป็นลิงชิงบอล ท่ามกลางเสียง "โอเล่" "โอเล่" เฮฮาจากกองเชียร์บนอัฒจันทร์ น่าจะเป็นความทรมานที่เจ็บปวดที่สุดแล้วนะครับสำหรับทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ความเลวร้ายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเกมนี้นั้นราวกับว่า ซิตี้ ถูกลงโทษให้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตัวเองเคยทำกับทีมอื่น
หรือแม้กระทั่ง จอห์น สโตนส์..
สโตนส์คือคนที่ยิงตีเสมอ 2-2 ให้ซิตี้ในนาที 90+8 เมื่อเดือนกันยายน เขาไม่ได้เป็นประเด็นดราม่าร้อนแรงอะไรหรอกครับ ไม่มีใครขัดเคืองเขาด้วยเพราะกองหลังทีมชาติอังกฤษไม่ใช่นักเตะประเภทสร้างปัญหากับคนอื่น
แต่ตลกร้ายของเรื่องนี้ก็คือ 4 จาก 5 ประตูที่เสียให้อาร์เซน่อลในเกมนี้ สโตนส์มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดเลย
ประตู 0-1 เป็นคนผ่านบอลให้ มานูเอล อคานจี ก่อนที่ อคานจีจะเสียบอล
ประตู 1-2 บอลจากการยิงของปาร์เตย์แฉลบสีข้างเขาเปลี่ยนทางเข้าประตู
ประตู 1-3 เป็นคนเข้าไปขวาง ลูอิส-สเคลลี่ และเอาไม่อยู่
ประตู 1-4 เป็นคนเข้าไปขวาง ฮาแวร์ตซ์ และผลเหมือนเดิมคือเอาไม่อยู่
เหมือนอาร์เซน่อลไล่กวาดแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แบบเบ็ดเสร็จและหมดจด ไม่ให้เหลือแม้กระทั่งเศษเสี้ยวสีฟ้า
มันน่าจะเป็นความเจ็บปวดอย่างที่สุดจริง ๆ สำหรับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เขาจะต้องพยายามพาทีมของเขากลับมาสู่จุดที่เคยยืนอยู่แน่นอนครับ นั่นคือเรื่องที่ต้องรอดูกันต่อไป
ส่วนอาร์เซน่อล ผมอยากจะบอกกับ มิเกล อาร์เตต้า และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับทีมปืนใหญ่อีกครั้งว่ายินดีด้วยจริง ๆ กับรางวัลที่คุณควรได้รับครั้งนี้
เส้นทางยังไม่สิ้นสุดหรอกครับ มันจะยังมีอุปสรรคและเสียงวิจารณ์รออยู่ข้างหน้าแน่ ๆ แต่อย่างน้อยผลงานที่ออกมาและการปลดแอกครั้งใหญ่ในเกมนี้ก็ควรค่าที่จะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงชโลมหัวใจให้ชุ่มชื่น
เติมความมั่นใจให้กับความสับสนกังวลที่อาจเกิดขึ้น เติมความจริงให้ความฝันอันอาจแห้งผากในบางเวลาว่าอย่าวิตกไปเลย.. พวกคุณเดินมาบนทางที่ถูกต้องแล้ว
จงยึดมั่น หยัดยืน และเดินต่อไป
ตังกุย