แมนยูไนเต็ด คาบ้านอีกแล้วนะครับ โดย 6 เกมล่าสุดในพรีเมียร์ลีกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด คาบ้านไป 5 ครั้ง เท่านั้นไม่พอคือยิงประตู คริสตัล พาเลซ ในลีกสูงสุดไม่ได้ 4 เกมติดต่อกัน
1. ปีศาจแดงที่ รูเบน อโมริม ทดลองใช้ ค๊อบบี้ เมนู เป็นกองหน้าแบบ False9 เปิดฉากอย่างเร้าใจ ด้วยการบุกขย่มใส่ผู้มาเยือนอยู่ข้างเดียวในช่วง 15 นาทีแรก
แต่หลังจากที่บุกขย่มแล้วทำประตูไม่ได้ เกมของพวกเขาก็สะดุดไปดื้อๆ เลย
ขอบอกว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในระหว่างเกม ของ แมนยูไนเต็ด คือมันจะมีช่วงที่นักเตะพันธุ์อสูรเล่นได้ดีอยู่ช่วงหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็จะฟุ๊บลงไปแบบไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น
2.สังเกตเวลา แมนยูไนเต็ด ครองบอลทำเกมรุกนะครับ
ถ้าเล่นกันช้าๆ ด้วยการถ่ายบอลไป ถ่ายบอลมา สลับคืนหลัง เพื่อหาจังหวะวางยาวข้ามไลน์ คู่แข่งจะถอยลงไปแพ็คเกมรับในแดนตัวเองอย่างแน่นหนา
แล้วก็เจาะไม่เข้า เพราะรูปแบบการเล่นเกมรุกไม่มีอะไรจัดจ้านอยู่แล้ว
ต่อเมื่อพยายามเล่นเกมเร็ว ก็ปราศจากความแม่นยำทำให้เสียบอลง่าย
จากเกมรุกกลายเป็นเกมรับ...ซะอย่างนั้น !!!
3.ความแตกต่างระหว่าง 2 ทีม คือการใช้ลูกตั้งเตะให้เป็นประโยชน์
แมนยูไนเต็ด ได้ลูกเตะมุมอยู่ข้างเดียว คือ 11 ครั้ง แม่งแทบไม่ได้ลุ้นเลยสักครั้ง
ส่วน คริสตัล พาเลซ ได้ประตูขึ้นนำจากการเปิดลูกฟรีคิกเข้ามา 5555
4.ความแตกต่างอีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้า
เจ้าบ้านใช้กองหน้าจำเป็นอย่าง ค๊อบบี้ เมนู เพราะ ราสมุส ฮอยลุนด์ กับ โจชัว เซิร์คซี่ มันหวังพึ่งอะไรไม่ได้
ไอ้หนูอาจครองบอลได้ แถมคล่องแคล่วกว่า แต่ก็ไม่ใช้ผู้เล่นหมายเลข 9 โดยธรรมชาติ
ขณะที่ทีมเยือนมีหัวหอกรูปร่างบึกบึน รวดเร็ว และถึกควายทุยอย่าง ฌอง-ฟิลิปส์ มาเตต้า ที่คอยกระทุ้งเกมรับคู่แข่ง
สุดท้าย 'หน้าเป้า' ขนานแท้ของ ดิ อีเกิ้ลส์ อยู่ถูกที่ถูกเวลาแล้วเหมาคนเดียว 2 ประตู !!
5.มิเพียงแค่นั้น
ทีมเยือนส่ง เอเบเรชี่ เอเซ่ ลงมาเป็นตัวสำรองคนเดียวก็ได้เรื่อง เมื่อเขาเป็นคนเปิดลูกฟรีคิกในจังหวะที่ได้ประตู
ส่วน แมนยูไนเต็ด ส่งตัวสำรองลงมาครบ 5 คน โดย 2 ใน 5 เป็นกองหน้าตัวเป้าซะด้วย
แม่งไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย