แมนยู กลับมาสร้างความผิดหวังให้กับแฟนบอลอีกตามเคย แถมเพิ่มสถิติสุดเลวร้ายแพ้คารังอีกหนจนได้เมื่อโดน คริสตัล พาเลซ บุกมาอัดหงายเก๋งชนิดสิ้นสภาพ 2-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 2ก.พ. แถมต้องสังเวย ลิซานโดร มาร์ตีเนซ ที่่น่าจะเจ็บหนักจนมีแววต้องพักยาวอีกรอบ
1. ผีวางหมากไร้หอกธรรมชาติ
รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ทำเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่เมื่อวางหมากโดยไม่มีกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติอยู่ในโผตัวจริงเป็นนัดแรกนับตั้งแต่เขาเข้ามาคุมทีมในเกมเสมอกับ อิปสวิช 1-1 ช่วงปลายเดือนพ.ย.
กุนซือโปรตุกีสเลือกจับ โจชัว เซิร์กซี่ กับ ราสมุส ฮอยลุนด์ เป็นตัวสำรองทั้งคู่เนื่องจากต่างก็ไม่อาจตอบแทนทีมในการสอยตาข่ายได้ และเมื่อเทียบจากเกมบุกไปทุบ เอฟซีเอสบี 2-0 ในศึก ยูโรปา ลีก เมื่อกลางสัปดาห์ เจ้าบ้านปรับทัพรวมหกรายด้วยกัน
เริ่มตั้งแต่ อ็องเดร โอนาน่า ได้กลับมาเฝ้าเสา ตามด้วย แฮร์รี่ แม็กไกวร์ คัมแบ็คคุมแดนหลังร่วมกับ เลนี่ โยโร่ ที่เบียด มาตไตส์ เดอ ลิกต์ ตกไปเป็นตัวสำรอง
นอกจากนี้ มานูเอล อูการ์เต้ ได้เสียบแทน โทบี้ คอลล์เยอร์ ตามคาด ขณะที่ อาหมัด ดิยัลโล่ กับ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ได้ออกสตาร์ตก่อนหน้า ฮอยลุนด์ และ คริสเตียน เอริคเซ่น
ด้าน ค็อบบี้ เมนู ซึ่งนัดก่อนแผลงฤทธิ์ยิงหนึ่งจ่ายหนึ่งในฐานะหมายเลขสิบได้ทำหน้าที่เป็นกองหน้าตัวหลอกในเกมนี้
2. อีเกิ้ลส์ ปรับทัพจุดเดียว
โอลิเวอร์ กลาสเนอร์ นายใหญ่ทีม คริสตัล พาเลซ ปรับโผตัวจริงรายเดียวจากเกมล่าสุดที่เฝ้าบ้านแพ้ เบรนท์ฟอร์ด 2-1
หลังมีผลงานที่ดีกำชัยได้สามเกมรวดแบ่งเป็นเกมลีกสองนัด อินทรีผงาดฟ้า ก็มาสะดุดนัดก่อนโดยเกมนี้พวกเขาส่ง ไดจิ คามาดะ ออกสตาร์ตก่อนหน้า เอเบเรชี่ เอซี่ ที่มีชื่อนั่งข้างสนาม
มีการเปิดเผยว่าดาวเตะทีมชาติ อังกฤษ มีสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์มาระยะหนึ่งแล้วเนื่องจากเจ็บเข่ากระทั่งพลาดซ้อมในบางครั้งจึงทำให้เกมนี้เขาถูกจัดให้เป็นตัวสำรอง
นอกจากนี้ โรแม็ง เอสเซ่ ซึ่งลุกจากม้านั่งข้างสนามไปยิงประตูตีไข่แตกช่วงท้ายเกมนัดก่อนในแมตช์ประเดิมสนามยังมีชื่อเป็นตัวสำรองอีกนัด
3. ไม่เน้นนำก่อน เน้นแก้เกม
ต้องบอกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มเกมได้ดูดีสำหรับนัดนี้โดยเฉพาะ เมนู สวมบทกองหน้าตัวหลอกได้ไม่เลวกับการซัดบอลไปชนเสาในช่วงต้น แต่นับจากนั้นเกมของเจ้าบ้านก็แผ่วลงไปเป็นลำดับเนื่องจากไม่อาจกดดัน ดีน เฮนเดอร์สัน อดีตนายทวารได้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่ เมนู ก็แทบไม่มีส่วนกับเกมอีกเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพ้น 20 นาทีแรก ผีแดง ไม่อาจบุกใส่อาคันตุกะได้อย่างต่อเนื่อง และเป็น พาเลซ ด้วยซ้ำที่เดินเกมรุกขึ้นมาให้ โอนาน่า ต้องทำหน้าที่มากขึ้นทุกทีก่อนที่ทั้งสองทีมจะเสมอกันไปแบบไร้สกอร์ใน 45 นาทีแรก
จากผลลัพธ์ดังกล่าวทำให้ ผีแดง ยังแก้ปัญหาการคลำเป้าคู่แข่งใน 45 นาทีแรกไม่ได้เนื่องจากเท่าที่ผ่านมา อโมริม หนีไม่พ้นต้องปรับเปลี่ยนทั้งแทคติกและผู้เล่นพาทีมคว้าผลลัพธ์ในครึ่งหลังโดยตลอด
รวมแล้วแม้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้ส่องยิงมากกว่าทีมเยือนรวม 10 ครั้งก็จริง แต่พวกเขาส่งบอลเข้ากรอบไม่ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียวซึ่งเป็นปัญหาเดิมๆที่ อโมริม ยังแก้ไม่ตก ขณะที่ อินทรีผงาดฟ้า ได้กระทุ้ง 7 ครั้งโดย โอนาน่า ต้องเซฟหนึ่งครั้ง
ถึงตอนนี้ ผีแดง ยิงประตูเกม พรีเมียร์ลีก ในครึ่งแรกไม่ได้มากถึง 18 นัดเข้าไปแล้วจากการลงสนาม 24 นัดในซีซั่นนี้ซึ่งเป็นสถิติที่น่าหดหู่เป็นอย่างยิ่ง และฟ้องว่าพวกเขาจำเป็นต้องเสาะหากองหน้าชั้นยอดมาร่วมทีม
4. คาบ้านเยอะไปมั้ย?
ในที่สุด อโมริม ก็คุมทีมแพ้เกมลีกคาบ้านเพิ่มอีกนัดเนื่องจากไม่อาจแก้ไขสถานการณ์ในครึ่งหลังได้ แถมโดน พาเลซ เช็กบิลสองประตูซึ่งเป็นอีกเกมที่ ผีแดง สมควรแพ้คารังอย่างยิ่งจากฟอร์มการเล่นที่ไม่เอาอ่าว และไม่มีใครสักคนที่โชว์ผลงานได้แบบพอไปวัดไปวา
นอกจากแนวรับจะไร้ความแข็งแกร่ง และเสียประตูให้ทีมเมืองหลวงสองเม็ดแล้ว เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงอ่อนด้อยไม่เลิกเนื่องจากไม่ได้สร้างความอันตรายใดๆให้กับ อินทรีผงาดฟ้า เลยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมนี้ทั้ง อาหมัด ที่เคยมีฟอร์มโดดเด่นไร้พิษสงเช่นเดียวกับ การ์นาโช่ และแม้ทั้ง เซิร์กซี่ และ ฮอยลุนด์ จะถูกส่งลงสนามในช่วง 20 นาทีสุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเนื่องจากแผงรุกทุกชีวิตของทีมเจ้าบ้านสามัคคีกันเล่นได้อย่างย่ำแย่ทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะแพ้คารังในเกมลีกซีซั่นนี้มากถึง 7 จาก 13 นัด และหากจะนับรวมตั้งแต่ซีซั่นก่อน พวกเขาแพ้เกมเหย้าของศึก พรีเมียร์ลีก มากมายมหาศาล 13 นัดเข้าไปแล้วโดยมี วูล์ฟส์ ทีมเดียวเท่านั้นที่แพ้มากกว่า ผีแดง รวม 16 นัด
ขณะเดียวกัน ผลงานแพ้เกมเหย้าของ พรีเมียร์ลีก 7 จาก 13 เกมในซีซั่นนี้เป็นสถิติร่วมที่เลวร้ายที่สุดของ ผีแดง เช่นกันเทียบเท่ากับซีซั่น 1893/94 โน่นเลย
สำหรับผลงานแพ้เกมลีกที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในซีซั่นนี้ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ประกอบไปด้วย
3-0 v ลิเวอร์พูล 1 ก.ย.
3-0 v สเปอร์ส 29 ก.ย.
3-2 v ฟอเรสต์ 7 ธ.ค.
3-0 v บอร์นมัธ 22 ธ.ค.
2-0 v นิวคาสเซิ่ล 30 ธ.ค.
3-1 v ไบรท์ตัน 19 ม.ค.
2-0 v พาเลซ 2 ก.พ.
5. โรงละครของ พาเลซ
นอกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีผลงานที่เลวร้ายในรังตัวเองแล้ว พาเลซ เป็นทีมที่บุกมาคว้าผลลัพธ์ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในระยะหลังได้บ่อยครั้งอย่างเหลือเชื่อด้วย
แม้จะไม่เคยบุกมาเฮที่ โรงละครแห่งความฝัน เลยแม้แต่ครั้งเดียวในสิบนัดแรกของศึก พรีเมียร์ลีก แถม อินทรีผงาดฟ้า ปราชัยเก้านัดติดต่อกันด้วย
แต่ถึงตอนนี้ ทีมจากเมืองหลวงเก็บสามแต้มในรังของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สี่จากหกนัดหลังโดยพวกเขาแพ้ให้กับเจ้าบ้านสองนัด
ขณะเดียวกัน จากผลงานส่องสองเม็ดในเกมล่าสุดทำให้ ฌอง ฟิลิปป์ มาเตต้า ยิงประตูในเกม พรีเมียร์ลีก ได้มากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มปี 2025 รวมหกลูกแล้ว
นอกจากนี้ หัวหอกเลือดน้ำหอมกระทุ้งประตูในเกม พรีเมีย์ลีก ได้มากถึง 26 เม็ดแล้วนับตั้งแต่เริ่มซีซั่นที่ผ่านมา