ลิเวอร์พูลชนะเกมนี้ด้วยความเด็ดขาดที่ดีกว่า

ลิเวอร์พูลชนะเกมนี้ด้วยความเด็ดขาดที่ดีกว่า
บอร์นมัธเวลานี้คือทีมที่อันตรายกว่าเดิม มั่นใจกว่าเดิม ลงตัวกว่าเดิม เมื่อเทียบกับเกมแรกที่เจอกันเมื่อต้นฤดูกาล..

ลิเวอร์พูลจึงต้องเล่นอย่างมีสมาธิที่สุดและเน้นที่สุดในการไปเยือน ไวทัลลิตี้ สเตเดี้ยม เมื่อคืนที่ผ่านมา

สกอร์ 3-0 ที่แอนฟิลด์เมื่อเดือนกันยายนไม่ใช่สิ่งการันตีว่าเกมนี้จะง่ายเหมือนวันนั้น อาร์เซน่อล แมนฯ ซิตี้ สเปอร์ส แมนฯ ยูไนเต็ด โดน บอร์นมัธ ของ อันโดนี่ อีราโอล่า อัดพังมาหมดแล้ว

เชลซีก็เกือบแพ้พวกเขาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ (รีซ เจมส์ ยิงตีเสมอ 2-2 นาที 90+5) นิวคาสเซิ่ลโดนถลุงคาบ้านด้วยแฮตทริกของ จัสติน ไคลเวิร์ต น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แพ้ยับเยิน 0-5 จากแฮตทริกของ ดังโจ วัตตาร่า

สไตล์การเล่นของบอร์นมัธดุดัน กล้าได้กล้าเสีย บอลพุ่งไปข้างหน้าเร็ว เก็บบอลสองเก่งและไม่รอช้าเปลี่ยนจากรับเป็นรุกทันที บอลทะลุไปถึงหน้าเขตโทษคู่แข่งด้วยการต่อบอลไม่กี่หน

มีนักเตะที่มีความปราดเปรียว ทักษะเฉพาะตัวดี ดวลตัวต่อตัวเล่นงานกองหลังได้ และมีการประสานงานที่เข้าขา ยามขึ้นเกมมาแต่ละครั้งวูบวาบรู้สึกได้ถึงความคุกคาม

บางทีการพบกับทีมอันตรายสุด ๆ ณ นาทีนี้อย่างบอร์นมัธ บวกกับการเสียประตูแบบมือสมัครเล่นให้ อิปสวิช ทาวน์ ตีไข่แตกเป็น 4-1 ง่าย ๆ ในเกมก่อนนั้นกลับกลายเป็นเรื่องดี เพราะยิ่งทำให้นักเตะของ อาร์เน่อ ชล็อต ระวังและไม่ประมาท

มีสมาธิเพื่อรับมือกับเกมที่เข้มข้นของเจ้าถิ่น เตรียมพร้อมที่จะเจอกับการวิ่งไล่เข้าใส่และการเปลี่ยนรับเป็นรุกที่น่ากลัว

การพักนักเตะตัวหลักค่อนทีมให้อยู่ซ้อมที่ลิเวอร์พูลไม่ต้องเดินทางไปเตะแชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อกลางสัปดาห์แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ชล็อต ให้ความสำคัญกับเกมนี้อย่างไร

ลิเวอร์พูลจัดชุดดีที่สุดแบบเต็มสูบ พ่วงด้วยตัวสำรองครบหน้าขาดไปเพียง โจ โกเมซ คนเดียวเท่านั้น ทีมหงส์แดงคือทีมที่สมบูรณ์ที่สุดเรื่องขุมกำลัง ไม่โดนปัญหาบาดเจ็บเล่นงานเหมือนทีมอื่น ๆ

และเก็บเกี่ยวผลการแข่งขันได้..

สองเกมก่อนหน้านี้กำลังจะเสมอ เบรนท์ฟอร์ด อยู่แล้ว แต่ได้โจ๊กเกอร์อย่าง ดาร์วิน นูนเญซ กระทุ้ง 2 ประตูเก็บสามคะแนนกลับบ้าน โมเมนตัมไม่เสีย และเดินหน้าต่อด้วยเกมไม่ยากที่ต้อนม้าขาว 4-1

เกมดำเนินไปด้วยความสนุก บอร์นมัธที่ไม่แพ้ใครมา 11 เกม ไม่เปลี่ยนแนวทางการเล่นของตัวเอง ไล่บีบลิเวอร์พูลถึงหน้าเขตโทษ

และเกมแพลนของอีราโอล่า.. จังหวะบุกจะจี้ใส่จุดยุทธศาสตร์เดียวกับที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้ที่แอนฟิลด์คือโจมตีทางตำแหน่งแบ๊กขวา

จึงเป็นอีกเกมที่ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เหนื่อยหนัก ทั้งความไม่แน่นอนในเกมรับอันเป็นจุดอ่อนส่วนตัว และการถูกจี้ย้ำ ๆ เข้าใส่ตลอดเวลาด้วยความจัดจ้านของ อองตวน เซเมนโย่ และบ่อยครั้งที่ยังมี มิลอส เคอร์เคซ แบ๊กซ้ายพลังม้าเติมขึ้นมารุม 2 ต่อ 1

มีความผิดพลาดเองและการถูกเล่นงานของเทรนต์ให้เห็นเป็นระยะ ๆ แต่ลิเวอร์พูลยังรับมือกับการป้องกันในเขตโทษได้ดี จังหวะหวาดเสียวที่สุดเห็นจะมีเพียงลูกที่ เซเมนโย่ เบียดแย่งบอลจากเท้าของเทรนต์ก่อนโยกหนี อิบู โกนาเต้ แล้วตะบันชนเสาเต็ม ๆ ในครึ่งแรกเท่านั้น

ช่วงต้นครึ่งหลัง อีราโอล่า แสดงให้เห็นว่าเขามีความแสบพอตัว จากที่เจาะฝั่งซ้ายตลอดทางในครึ่งแรก การย้ำเน้น ๆ กลับเกิดขึ้นติด ๆ กันทางด้านขวา

เจ้าถิ่นโหมเกมทันทีตั้งแต่เริ่มครึ่งหลังและเจาะทางขวาได้ 2 หนในเวลาไม่กี่นาที เพียงแต่ความเด็ดขาดยังเป็นสิ่งที่พวกเขาขาดหายไปเหมือนเดิมทั้งการแย่งกันโหม่งเองและลูกวอลเล่ย์ของไคลเวิร์ตที่ไปติดบล็อกโกนาเต้

แล้วเมื่อฉาบฉวยเจาะทางขวาสักพัก บอร์นมัธก็กลับไปจี้ฝั่งซ้ายของเทรนต์ตามเดิม แต่พวกเขาอาจจะผ่านเทรนต์ไปถึงเส้นหลังได้เป็นพัก ๆ ทว่าการทำอันตรายหรือเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูในจังหวะต่อมาก็ยังทำไม่ได้หรือไม่มีประสิทธิภาพพอ

ค่า xG หรือประตูที่ควรทำได้ในครึ่งแรกของพวกเขาอยู่ที่เพียง 0.18 ประตูเท่านั้น (xG หลังจบเกม 1.01 ประตู) เมื่อเทียบกับตัวเลข 1.93 ประตูของฝั่งลิเวอร์พูล (xG หลังจบเกม 2.66 ประตู) แล้วยังมองเห็นได้ชัดพอสมควรถึงความแตกต่าง

ลิเวอร์พูลไม่ได้บดขยี้พับสนามบุก ไม่ได้ควบคุมเกมไว้ได้เบ็ดเสร็จ มันเป็นเกมที่แลกกันคนละหมัดด้วยซ้ำ ไม่มีภาพของการเหนือกว่าในทุกจุดของสนามอย่างเกมที่ยำใหญ่อิปสวิช ทาวน์ แต่ความใกล้เคียงที่จะได้ประตู หงส์แดงมีมากกว่า เพราะการเปิดเกมของบอร์นมัธทำให้จ่าฝูงมีพื้นที่ในการเล่นงานเหมือนกัน

บอร์นมัธคือทีมที่พร้อมตัดเกมเพื่อหยุดจังหวะเปลี่ยนรับเป็นรุกของคู่แข่งให้เด็ดขาด ยอมถูกใบเหลืองแลกกับการตัดโอกาสที่จะเสียประตู แต่ลิเวอร์พูลหนีการตัดเกมเหล่านั้นได้บ่อย ไรอัน กราเฟนแบร์ก ยังได้พลิกบอลสวย ๆ ขณะที่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ มีจังหวะไถตัวตะลุยไปต่อไม่ยอมล้มเอาฟาวล์เพื่อให้เกมไหลไปต่อ

ลิเวอร์พูลทำได้ดีกับการครองบอล แต่ก็นั่นล่ะครับ เมื่อคืบเข้าแดนสามที่พื้นที่น้อยลง ถ้าเสียบอลเมื่อไหร่ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุไหน ปะทะแพ้ บอลเก็บตก หรือยิงติดบล็อกออกมา เผลอแพลบเดียวบอร์นมัธอาจพาบอลไปถึงหน้าเขตโทษหรือเส้นหลังแล้ว

ผมชอบการควบคุมสถานการณ์ของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ เขายังนิ่ง เยือกเย็น สุขุม อ่านทางดักบอลคู่แข่งได้เก่ง มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ ฟาน ไดค์ ขยับตัวถอยไม่สนไลน์แนวรับ เขาน่าจะมั่นใจว่าบอร์นมัธจะแทงบอลเข้าช่องนี้.. แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ไม่มีความลนลาน ไม่เร่งรัดตัวเอง เกมนี้ ฟาน ไดค์ มีจังหวะตัดสินใจพลาดอยู่ 1-2 ครั้งทำให้เสียท่าผู้เล่นเจ้าถิ่นที่ใช้ความเร็วพุ่งเข้าช่วงชิงบอลแต่ก็ตามกลับไปแก้ตัวได้หมด ขณะที่จังหวะอื่น ๆ เก็บกินเรียบ

คนอื่น ๆ ก็ทำหน้าที่ตัวเองได้ดี อลีสซง เบ็คเกอร์ ช่วยป้องกันจังหวะสำคัญ ๆ ได้ 2-3 ครั้ง อิบู โกนาเต้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ที่รักษาตำแหน่งไม่พลาด ส่วน เทรนต์ โดนจี้หนักเกมรับหวาดเสียว แต่ยังมีการสนับสนุนเกมรุกหลาย ๆ ครั้งที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ทีมตามสไตล์

การรักษาคลีนชีตของเกมรับลิเวอร์พูลในนัดนี้ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม แต่กระนั้นก็มีจุดพลิกผันสำคัญมาร่วมด้วยนั่นคือจังหวะที่ จัสติน ไคลเวิร์ต ซ้ำลูกยิงชนเสาของ มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์ พลาดเหลือเชื่อเปลี่ยนสกอร์ให้กลับมาเป็น 1-1 ไม่ได้

ลิเวอร์พูลชนะเกมนี้ด้วยความเด็ดขาดที่ดีกว่าและการทำได้ในสถานการณ์ที่คับขันไม่ว่าจะเป็นการรอดตัวจากการเสียประตูหรือการลงโทษคู่แข่ง

ประตูขึ้นนำ 1-0 จากจุดโทษของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในนาทีที่ 30 มาจากจังหวะทิ้งบอลยาวโจมตีพื้นที่ว่างที่บอร์นมัธเปิดให้ โกดี้ คักโป วิ่งไปกับบอลก่อนที่ขาจะไปถูกน่องของ ลูอิส คุ้ก แบ๊กขวาบอร์นมัธที่วิ่งตามหลังมาขัดโดยไม่ตั้งใจ

จากที่เกมยังตรึง ๆ กันอยู่ กลายเป็นลิเวอร์พูลได้โอกาสทองไปดื้อ ๆ และ ซาลาห์ ก็สังหารไม่พลาด

ดูเหมือนไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่ไม่ใช่หรอก มันมาจากความพร้อมและสมาธิที่ไม่หย่อนเลยตลอดเวลาของลิเวอร์พูลต่างหาก รับเมื่อต้องรับ รุกเมื่อถึงเวลารุกและทุกคนรู้หน้าที่ตัวเอง

ลูกที่ 2 ก็เช่นกัน จากจังหวะตั้งรับเกมบุกของบอร์นมัธ แย่งบอลได้หน้าเขตโทษตัวเอง ลิเวอร์พูลเปลี่ยนมันเป็นการโต้กลับ หลุยส์ ดิอาซ ไหลให้ เคอร์ติส โจนส์ หน้าเขตโทษ ดาร์วิน นูนเญซ วิ่งดึงกองหลังเจ้าถิ่นเข้าไปในเขตโทษ ซาลาห์จึงยืนโล่งรับบอลจากโจนส์ ก่อนจะปั่นเสียบเสาไกลหมดจด

มิลอส เคอร์เคซ ที่ขับเคี่ยวกับซาลาห์มาตลอดทั้งเกม มีความสด มีความหนัก มีความดุ ยืนคุมห่างเพราะระวังการกระชากของดาวเตะอียิปต์นิดเดียวโดนยิงใส่และเสียประตูเลย

ประตูนี้ไม่เพียงเป็นประตูที่ 21 ในลีกซีซั่นนี้ของซาลาห์เท่านั้นแต่ยังทำให้เขาแซงหน้า แฟร้งค์ แลมพาร์ด ขึ้นไปรั้งอันดับ 6 ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกที่จำนวน 178 ประตูอีกด้วย

อันดับหนึ่ง อลัน เชียเรอร์ 260 ประตู..

อันดับสอง แฮร์รี่ เคน 213 ประตู..

อันดับสาม เวย์น รูนี่ย์ 208..

อันดับสี่ แอนดี้ โคล 187 ประตู..

อันดับห้า เซร์คิโอ อเกวโร่ 184 ประตู..

เท่ากับซาลาห์ตามหลัง กุน อยู่เพียง 6 ประตู และตามหลัง โคล อยู่ 9 ประตู มีโอกาสที่จะทำลายสถิติของทั้ง 2 คนนี้ได้ตั้งแต่ในฤดูกาลนี้อยู่เหมือนกันเพราะยังมีอีก 15 เกมให้เตะ

นั่นคือจุดพลิกผันสำคัญ จากที่น่าจะโดนตีเสมอ 1-1 ลิเวอร์พูลกลับยิงหนีเป็น 2-0 ในเวลาห่างกันเพียงห้านาที

การเก็บเกี่ยวโอกาสและลงโทษคู่แข่งได้แบบนี้คือคุณสมบัติที่ดีของทีมที่ลุ้นแชมป์

การเปลี่ยนตัวของ อาร์เน่อ ชล็อต ยังคงทำได้ดีและสอดคล้องกับสถานการณ์ตรงหน้า เกมนี้ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ มีใบเหลืองติดตัวและเพิ่งจะทำฟาวล์สุ่มเสี่ยงจะโดนอีกเหลืองไปหมาด ๆ กุนซือชาวดัตช์ส่ง เคอร์ติส โจนส์ ลงไปแทนทันที หรือการส่ง วาตารุ เอนโด ลงไปปิดเกมให้มั่นใจขึ้น

ผมดูเกมนี้ด้วยความอิ่มใจ มีความสุขกับชัยชนะของทีมรัก และชื่นชมการต่อสู้ของบอร์นมัธที่ทำให้เกมนี้สนุกตื่นเต้นตลอด 90 นาที ลุ้นตัวโก่งกว่าจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายได้บ้างก็ตอนที่ซาลาห์ยิงหนีเป็น 2-0 ก่อนหมดเวลา 15 นาทีนั่นแหละ

การลอยลำในแชมเปี้ยนส์ ลีกตั้งแต่ยังเตะไม่ครบ 8 เกมมีส่วนช่วยในเกมนี้ด้วย มันทำให้ ชล็อต สามารถเตรียมความพร้อมให้ทีมของเขาได้อย่างเต็มที่ วางเกมรับมือสิ่งที่จะต้องเจอจากบอร์นมัธได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ที่สำคัญคือนักเตะมีสมาธิดี วินัยไม่หย่อน เอาตัวรอดได้ เล่นอย่างเป็นผู้ใหญ่ และมีทีเด็ดทีขาดในการลงโทษคู่แข่ง

เดอะค็อปได้ยิ้มสดใสรับวันอาทิตย์ เตรียมชมบิ๊กแมตช์ที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม คืนนี้อย่างผ่อนคลาย ผลที่ดีที่สุดคงเป็นอาร์เซน่อลไม่ชนะ แต่ไม่ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร การต่อสู้ก็ยังไม่จบอยู่แล้ว

และเกมลีกนัดถัดไป.. 12 ก.พ. นัดตกค้างกับเอฟเวอร์ตัน

ทอฟฟี่สีน้ำเงินชนะมา 3 เกมติดต่อกัน ลิเวอร์พูลก็ชนะมา 3 นัดติดต่อกัน..

เมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ครั้งสุดท้ายในฟุตบอลลีกที่ กูดิสัน พาร์ค.. ไม่มีถูกเวลาไปกว่านี้อีกแล้ว

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport