ชัยชนะแรกของ เดวิด มอยส์ กับ เอฟเวอร์ตัน ในการรีเทิร์นภาคสองใช้เวลาเพียงสัปดาห์เศษนับแต่เข้าคุมทีมอย่างเป็นทางการ หากนับช่วงเวลาของการฝึกซ้อมก็แค่เพียง 3 เซสชั่นครึ่งเท่านั้น
เวลาผ่าน อะไรๆก็เปลี่ยนไป
มอยส์ในวัย 61ไม่ใช่ชายหนุ่มเลือดสกอตติชที่ผมสีแดงเพลิงอีกเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว เขายอมรับเองหลังได้ยินเสียงเพลงจาก เอฟเวอร์โตเนี่ยน กระหึ่มในสนามว่า "ผมดีใจที่ได้ยินเพลงนั้นแต่ตอนนี้สีผมของผมเป็นสีเทาแล้ว.."
เพลงดังกล่าวดังขึ้นเป็นระยะในระหว่างแมตช์เมื่อวันอาทิตย์ "Davie Davie Moyes, He's got red hair but we don't care, Davie, Davie Moyes"
แน่นอนนั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับสามแต้มที่ทำให้ทีมหายใจสะดวกคอมากขึ้น เจาะลึกรายละเอียดลงไปก็ยังพบความแตกต่างจากยุค ฌอน ไดซ์ ชัดเจน
เอฟเวอร์ตัน จากทีมที่ทื่อเป็นท่อนไม้สามารถทำประตูได้สามลูกในครึ่งแรก ย้อนสถิติไปครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 ขณะเดียวกัน โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน ที่ปืนฝืดมาตลอด มีข่าวอยากย้ายทีม มีเสียงโจมตีจากแฟนบอลก็ดูเหมือนกลับเข้าสู่ร่างทองเดิม ประตู 1-0 มาจากทักษะส่วนตัวล้วนๆซึ่งเป็นประตูแรกในรอบ1,225นาที ด้วยนับจากกันยายน
นี่คือปัญหาใหญ่ที่ใครติดตามสโมสรสีน้ำเงินแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ก็ต้องอ่านออก ยิ่งใครเชียร์ด้วยแล้วก็ต้องถอนหายใจในทุกๆสัปดาห์
ความจริงผมตามดูมอยส์มาตั้งแต่เกมแรกกับ แอสตัน วิลล่า ตอนกลางสัปดาห์แล้ว คืนนั้นเปิดตัวอาจไม่สวยแพ้ไป 0-1 แต่รูปทรงเกมก็ดูดีขึ้น ทีมผลิตโอกาสจะแจ้งได้ลุ้นมากขึ้นกว่าสมัยไดซ์ อย่างเดียวที่ขาดในวันนั้นคือการส่งลูกหนังสงบนิ่งก้นตาข่าย
มาสู่เกมที่สองต้อนรับสเปอร์ส ด้วยชื่อชั้นทางทีมเยือนย่อมเหนือกว่าแต่อันดับในตารางติดกันเลย ก็น่าเหลือเชื่อว่าอดีตสองยักษ์จะตกมาอยู่โซนล่างตารางอย่างนี้ จุดหนึ่งที่ย่อมทำให้สาวกทอฟฟี่มีความเชื่อมั่นก็ต้องเป็นสภาพทีมของไก่เดือยทองที่เจ็บกันระนาว
นั่นทำให้ตั้งแต่เสียงนกหวีดยาวดังจะเห็นการโหมเข้าเพรสใส่จากขุนพลเสื้อน้ำเงิน สิ่งนี้ก็แทบไม่เคยเห็นตอนไดซ์อยู่ ยิ่งเพรสก็ยิ่งได้ใจแฟนบอล พอออกนำเท่านั้นแหละก็เหมือนการเพิ่มความมั่นใจให้ทีม
สถิติเกมกับสเปอร์สการเพรสของเอฟเวอร์ตันปล่อยให้สเปอร์สได้ผ่านบอลเฉลี่ย 11.5 ครั้ง ก่อนนี้ค่าเฉลี่ยในลีกอยู่ที่ 15.9 ครั้ง
ชัดเจนครับว่าอะไรที่มอยส์ได้เติมให้ทีมเก่าที่เขาเคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มา11ปี
นอกจากนั้นมันก็ยังมีผู้เล่นอย่างเจสเปอร์ ลินสตรอมที่โชว์ฟอร์มได้เข้าตาขึ้น ตอนเซ็นยืมมาจากนาโปลีถือเป็นตัวความหวังเลยแต่ก็ไม่เคยเล่นได้สมราคาจนกระทั่งเมื่อบ่ายวันอาทิตย์ที่ตอนโดนเปลี่ยนตัวออกได้รับเสียบปรบมือจากเอฟเวอร์โตเนี่ยนทั้งสี่ทิศ
ยังมีเจค โอไบรอันอีก เซนเตอร์ฯชาวไอริชสูง 6 ฟุต 4 นิ้วที่ มอยส์ จับยืนแบ็กขวาได้โอกาสลงตัวจริงครั้งแรกในเกมลีก
ฟุตบอลก็แบบนี้เสมอทิศทางของทีมจะเคลื่อนที่ไปตามผู้จัดการทีม สไตล์หรือวิธีการเล่นจะถอดจากคาแรกเตอร์ของโค้ช
ชัยชนะ 3-2 เหนือ สเปอร์ส ก็ทำให้หลายๆคนนึกถึงยุคที่ทีมจบโซนยุโรปสม่ำเสมอตอนมอยส์ภาคแรก บอลดุดันและมีเป้าหมาย
"พวกเราแค่ชนะเกมเดียวเท่านั้น ผมยังไม่อยากจะดีใจอะไรมากแต่ผมรู้ว่าวันนี้เราเล่นกันได้ดีมาก ผมเองก็อยากจะพูดว่าเกมกับวิลล่าเราก็ไม่ได้แย่อะไร แค่รายละเอียดเล็กน้อยที่ทำให้เกมแตกต่าง อย่างไรก็ตามเราต้องการเสริมทีมโดยด่วนในตลาดเดือนนี้"มอยส์กล่าวหลังเกม
พิจารณาโดยรอบมอยส์ 2.0 ก็มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป เกมลูกหนังสมัยใหม่ที่เน้นเคาะบอลสั้นขึ้นไป มีโค้ชรุ่นใหม่เข้ามาสร้างชื่อหลายต่อหลายคน หากในบางเรื่องก็ต่อติดง่ายด้วยภาพความทรงจำเก่าๆกับผู้คนเก่าๆ มันยังใช้เวลาเชื่อมต่อกันไม่นานอีกด้วย
ผมพบสิ่งนั้นจากใบหน้าของเอฟเวอร์โตเนี่ยนทุกคน
"ไก่ป่า".....