สมศักดิ์ศรีแดงเดือด

สมศักดิ์ศรีแดงเดือด
กระแสก่อนเกมชี้ไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด.. ลิเวอร์พูลเก็บสามคะแนนค่อนข้างแน่

มันอาจจะเป็นศึกแดงเดือดที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าผลงานล่าสุดแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย จะพูดว่าโยนมันทิ้งไปเสียก็คงไม่ผิด.. แต่กับความรู้สึกก่อนเกม จะโยนเรื่องเหล่านั้นทิ้งไปนั้นไม่ใช่ทำได้ง่าย ๆ

ก็เพราะภาพต่าง ๆ มันยังติดตา ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด มีผลงานแตกต่างกันชนิดขาวกับดำ

เดือนธันวาคมที่ผ่านไป แมนฯ ยูไนเต็ดแพ้ 6 เกมทุกรายการ ส่วนลิเวอร์พูลชนะ 6 เกมทุกรายการ

ยูไนเต็ดแพ้มา 4 เกมติดต่อกันในทุกรายการ.. 3 เกมติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก

ลิเวอร์พูลชนะมา 4 เกมติดต่อกันในทุกรายการ.. 3 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก

ยูไนเต็ดบอดสนิทยิงใครไม่ได้เลยใน 3 เกมหลังสุด แต่ลิเวอร์พูลถล่ม 14 ประตูใน 3 เกมนั้น สเปอร์สโดนไป 6 เลสเตอร์เจอไป 3 เวสต์แฮมโดนไป 5

ความแม่นยำและเข้าขารู้ใจของนักเตะลิเวอร์พูล กับการผ่านบอลใกล้ ๆ ยังผิดพลาดและการประสานงานที่น่าละเหี่ยใจของนักเตะปีศาจแดง

จะไม่ให้เกิดความรู้สึกที่ว่าขึ้นได้อย่างไร

แฟนบอลลิเวอร์พูลบางส่วนจึงมั่นใจอยู่ลึก ๆ บางคนออกตัวแรงจัดถึงขนาดคุยข่มจะถล่มกี่ประตูดี แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเองก็เช่นกัน มีจำนวนไม่น้อยที่วิตกกังวลเป็นอันมาก เชื่อกันไปแล้วว่าไม่ว่ามองมุมไหนก็ไม่น่ารอด อยู่ที่ว่าตัวเลขบนสกอร์บอร์ดจะออกมาอย่างไรเท่านั้น.. มาก หรือ น้อย.. โหดร้าย หรือแพ้แค่เบาะ ๆ พอให้ยังกล้าเดินออกจากบ้านได้

ลองย้อนกลับไปดูความคิดเห็นในช่องทางต่าง ๆ ก่อนเกมดูก็ได้ ทั้งฝั่งลิเวอร์พูลที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ และฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ที่อบอวลไปด้วยความเหี่ยวเฉา

ไม่เพียงแค่ความรู้สึกของเราแฟนบอลเท่านั้นหรอกครับ นักวิจารณ์ทั่วโลกก็เช่นกัน

Opta หน่วยงานเก็บสถิติลูกหนังชั้นนำประเมินโอกาสชนะของลิเวอร์พูลที่ 70.6% ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ดแค่ 12.7% เท่านั้น หรือบริษัทรับพนันถูกกฎหมายของเมืองนอกวางอัตราจ่ายสำหรับหงส์แดงชนะต่ำเหลือเชื่อเอา 8 บาทไปแลกบาทเดียว

นี่คือภาพรวม ๆ ของศึกแดงเดือดที่แอนฟิลด์เมื่อวันอาทิตย์ อารมณ์ของสังคมลูกหนังโดยรวมนำพาไปทางนั้น

แต่แล้วมันก็เป็นอีกครั้งที่ แดงเดือด แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของมัน.. ผลงานล่าสุดไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะผลการแข่งขัน หรือกระทั่งรูปเกม

------------------

ความฮึกเหิมแผ่ซ่านแอนฟิลด์หลังจากทั้ง อาร์เซน่อล และ เชลซี สะดุดอีกครั้งเมื่อวันเสาร์ ไม่มีอะไรเป็นใจไปกว่านี้อีกแล้ว เดอะค็อปเฝ้ารอที่จะดื่มด่ำความสุขขั้นสุดด้วยชัยชนะเหนือคู่ปรับตลอดกาลในเกมนี้

โดมินิก โซโบซไล พ้นโทษแบนกลับมาแล้วแต่ป่วยลงสนามไม่ได้ไม่เป็นไร เคอร์ติส โจนส์ ยังเป็นหนึ่งในสามกองกลางขับเคลื่อนเกมร่วมกับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์

แนวรับมีข่าวดีได้ อิบราฮิมา โกนาเต้ หายเจ็บกลับมาจับคู่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ทันเวลาพอดี สวนทางกับการบาดเจ็บของ โจ โกเมซ ทางซ้ายยังใช้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ก่อน คอสตาส ซิมิกาส ขณะที่ 3 ประสานแดนหน้าไม่เปลี่ยนจาก โกดี้ คักโป - หลุยส์ ดิอาซ - โมฮาเหม็ด ซาลาห์

แต่ตลอด 80 กว่านาทีของเกมจนกระทั่งการเปลี่ยนตัวในนาทีที่ 86 คนที่เป็นไฮไลต์ที่สุดของลิเวอร์พูลคือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

มันคือเกมหายนะของเทรนต์โดยแท้ ทุกอย่างดูผิดพลาดไปหมด การยืนตำแหน่ง การเข้าปะทะ การดวลตัวต่อตัว การตัดสินใจ หรือกระทั่งการออกบอลที่เป็นจุดเด่นของเจ้าตัว

ผ่านบอลง่าย ๆ พลาดเป้า เตะสกัดผิดเหลี่ยม รีบปล่อยบอลเกินไป น้ำหนักบอลล้นออกหลัง โดนกระชากหาย ถูกวางบอลตลบหลัง

จังหวะที่ ดีโอโก้ ดาโลต์ หลุดขึ้นไปเปิดบอลให้ อาหมัด ดิยัลโล่ โหม่ง ก็เกิดขึ้นในพื้นที่ของเทรนต์

จังหวะหลุดเดี่ยวของ ราสมุส ฮอยลุนด์ เทรนต์ก็เป็นกองหลังคนเดียวที่ยืนต่ำกว่าหัวหอกชาวเดนมาร์ก

จังหวะหลุดเข้าไปยิงของ ดาโลต์ ในครึ่งหลังที่ ฟาน ไดค์ ตามไปสไลด์สกัดฉิวเฉียด เทรนต์ก็ปล่อยให้วิงแบ๊กซ้ายโปรตุกีสวิ่งตัดหน้าไปเอาบอลที่สาดยาวมาจากหน้าประตูยูไนเต็ด

จังหวะปล่อยบอลตกพื้นในเขตโทษจนกลายเป็นเสียบอลเกือบโดนยิง ก็เกิดจากความลังเลของเขาอีก

หรือในประตูขึ้นนำของยูไนเต็ดในครึ่งหลัง เทรนต์เนือยอย่างไม่น่าเชื่อหยุดวิ่งปล่อยให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส พาบอลผ่านหน้าไปได้ง่าย ๆ ก่อนจ่ายทะลุช่องให้ ลิซานโดร มาร์ติเนซ หลุดเข้าไปยิงแสกหน้า อลีสซง เบ็คเกอร์

ท่าทางของเทรนต์ในจังหวะที่หยุดวิ่งไม่ยอมตามบรูโน่นั้นไม่ดีเลยจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขามีอาการตึงกล้ามเนื้อหรือโดนไข้เล่นงานเหมือน โซโบซไล หรือ เฟเดริโก เคียซ่า แต่ต้องฝืนลงเล่นหรือเปล่า

หรือถ้าเขาตัดสินใจปล่อยบรูไน่เพื่อหันไประวัง มาร์ติเนซ ที่แอบอยู่ด้านหลัง เขาก็ต้องจัดการกับกองหลังอาร์เจนไตน์ได้ดีกว่าการวิ่งไล่ตามแบบไร้ความหวังอย่างนั้น

พื้นที่รับผิดชอบของเทรนต์คือพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดใช้เล่นงานลิเวอร์พูล มันคือการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดีแน่นอนของ รูเบน อโมริง และลูกทีม

เล่นงานเทรนต์ วางบอลตลบหลังเทรนต์ ดวลตัวต่อตัวหรือดับเบิลทีมใส่เทรนต์ 

มันคือเกมที่ TA66 น่วมที่สุดในฤดูกาลนี้ และน่าจะเป็นเกมที่เขาถูกวิจารณ์อย่างหนักหน่วงที่สุดเช่นเดียวกัน

อันที่จริงฤดูกาลนี้ผลงานของ เทรนต์ จัดว่าดีเยี่ยม เกมรับดีขึ้นด้วยวิธีการเล่นโดยรวมของทีม ขณะที่เกมรุกยังปล่อยทีเด็ดเป็นระยะ ๆ มีส่วนกับการสร้างสรรค์โอกาสของทีมอยู่ตลอด แน่นอนมีความไม่ละเอียดด้านเกมรับให้เห็นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ก่อความผิดพลาดร้ายแรงหรือเป็นจุดอ่อนแบบชัด ๆ

แต่เกมนี้เกมเดียวเทรนต์แทบจะกินรวบความย่ำแย่ทั้งหมดของตัวเองนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลเลยทีเดียว

กระนั้นมันก็เป็นเพียงเกม ๆ หนึ่งที่นักฟุตบอลคนหนึ่งหลุดฟอร์ม หรือมีวันที่เลวร้าย เรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน น่าสนใจว่าเขาจะกลับมาตอบสนองความผิดหวังที่เกิดขึ้นอย่างไรในเกมต่อ ๆ ไป

ในด้านอื่น ๆ ของเกมที่แอนฟิลด์ มันคือวันที่ยูไนเต็ดเตรียมความพร้อมมาดีมาก และเลือกวิธีการรับมือเจ้าบ้านได้อย่างถูกต้อง

ตั้งรับในแดนเป็นหลัก รักษาระยะห่างระหว่าวแนวและช่องไฟระหว่างเพื่อนตัวข้าง มีสมาธิเต็มที่ อ่านเกมตลอดเวลาโดยเฉพาะการเคลื่อนที่ของนักเตะลิเวอร์พูลที่ไม่มีบอล ยูไนเต็ดจึงแทบไม่เพลี่ยงพล้ำในการเก็บบอลจังหวะสองถ้าหลุดมาจากการดวลกันจังหวะแรก

การตั้งเกมก็ไม่เสี่ยงเอาแต่ค่อย ๆ ต่อบอลหน้าประตูขึ้นมาจนไม่สนใจการบีบแย่งแดนบนอันเข้มข้นของเจ้าถิ่น ตรงกันข้าม อโมริง ใช้บอลยาวจาก อังเดร โอนาน่า และ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ให้เป็นประโยชน์ เกมของลิเวอร์พูลดันสูงโดยธรรมชาติอยู่แล้วย่อมมีพื้นที่หลังแบ๊กให้เป็นตำบลกระสุนตก

ตั้งรับด้วยรูปแบบ 5-4-1 เซนเตอร์แบ๊ก 3 คนบวกวิงแบ๊ก 2 ข้างที่เป็นฟูลแบ๊กธรรมชาติทั้งดาโลต์และมาซราอุย ลิเวอร์พูลอาจมีเกมรุกที่อันตรายสามารถเจาะผ่านเข้าไปยิงหรือสร้างโอกาสทำประตูได้บ้าง แต่ในภาพรวมก็ถือว่าเกมป้องกันจัดการกับเกมบุกอันโหดร้ายของทีมหงส์แดงได้ดี เข้าถึงบอลตลอดไม่ให้นักเตะหงส์เล่นได้ง่าย ๆ

ค็อบบี้ เมนู กับ มานูเอล อูการ์เต้ โดดเด่นมากในแดนกลาง หนักแน่น พลังงานสูง สู้แรงปะทะกับแดนกลางของลิเวอร์พูลได้อย่างถึงพริกถึงขิง

ปิดตัวอันตรายที่สุดอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ด้วยการซ้อนสองตลอดเวลา ส่วนใหญ่เป็น ดาโลต์ กับ มาร์ติเนซ บางจังหวะที่ลิเวอร์พูลโต้เร็ววางยาวให้ดาวเตะอียิปต์ได้สถานการณ์ตัวต่อตัว เพื่อนคนที่อยู่ใกล้ต้องรีบวิ่งเข้าไปซ้อนเสมอ ไม่ปล่อยให้ใครต้องเผชิญหน้ากับซาลาห์โดยลำพังเป็นเวลานาน

และคนที่ผมอยากจะยกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์.. บรูโน่ แฟร์นันด์ส

นี่คือเกมที่บรูโน่ฉายแสง ทำทุกอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีติดขัด ยามรับช่วยเล่นเกมรับอย่างมีวินัย แต่ยามรุกมีอิสระเต็มที่ เคลื่อนที่รับบอลอย่างมีชีวิตชีวา และปลดปล่อยจินตนาการในเกมรุกผ่านเท้าชั่งทองของตัวเอง

เป็นเกมที่บรูโน่คงสนุกกับผลงานส่วนตัว แนวรับดันสูงแต่เกมที่ไม่มั่นคงและเสียการครองบอลบ่อยหนของลิเวอร์พูลคืออาหารอันโอชะจริง ๆ สำหรับเขา บอลคิลเลอร์พาสถูกปล่อยจากเท้าของเขาหลายรูปแบบทั้งแทงทะลุช่อง ตักบอลข้ามแนวรับ จ่ายตัดหลังแบ๊ก

จังหวะเล่นลูกเตะมุมเร็วกับ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ก่อนจะตะบันลักไก่เกือบเข้าเสาแรกในนาทีสุดท้ายแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจเต็มที่ของเขาในเกมนี้ และพิษสงของเขาเกือบจะกลายเป็นบทสรุปอันเจ็บแสบของลิเวอร์พูลถ้า โจชัว เซิร์กเซ่ จะมั่นใจกว่านี้ในจังหวะสุดท้ายของเกมที่ได้บอลจากเขาหลุดเข้าไปในเขตโทษ

โดยสรุปแล้ว นี่คือเกมที่สมกับความเป็นศึกแดงเดือด มันสูสี สมศักดิ์ศรี สู้กันแบบไม่มีใครยอมกัน พร้อมจะบุกไปยิงประตูอีกฝ่ายแบบเอ็งทีข้าทีโดยเฉพาะในช่วง 10 นาทีสุดท้ายไปจนถึงทดเวลา

แฟนบอลนั่งกันก้นไม่ติดเก้าอี้ นิ้วมือนิ้วเท้าหงิกด้วยความเกร็งและเสียวซ่าน จากที่กำลังลุ้นประตูอยู่หยก ๆ เพียงอึดใจถัดมาหัวใจก็หล่นไปอยู่ตาตุ่มจากการตอบโต้ของอีกฝ่าย

มันคือเกมที่ระทึกใจจนหยดสุดท้าย แทบไม่ได้หายใจหายคอกันเลย และผลเสมอ 2-2 แบ่งคะแนนกันไปก็ยุติธรรมดีแล้ว

เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ดูฟุตบอลมัน ๆ คู่ควรกับศักดิ์ศรีของทั้ง 2 ทีม ศึกแดงเดือดมันต้องอย่างนี้จริง ๆ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport