โมฮาเหม็ด ซาลาห์ คือผู้เล่นแนวรุกที่ดีสุดใน พรีเมียร์ลีก ตลอดกาลแล้วรึยัง?! คำถามนี้มันผุดขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว...
ซาลาห์ ติดท็อปชาร์จอันดับ 1 ผู้เล่นที่มีส่วนร่วมกับประตูต่อนาทีดีที่สุดเหนือกว่าผู้เล่น พรีเมียร์ลีก คนไหนๆ โดยไม่มีท่าทีเลยว่าเขาจะหยุดยั้งฟอร์มฮอตนี้ในวัยที่เข้าสู่ 33 ปีเดือนมิถุนายน
ซาลาห์ มีส่วนร่วมกับประตู 30 ลูกจาก 18 เกม ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ยทำประตูหรือแอสซิสต์ทุก ๆ 52.7 นาที
เป็นตัวเลขที่น้อยนาทีกว่าอันดับสองที่ตามมาอย่าง กาเบรียล เชซุส 6 นาที (ฤดูกาล 2016/17 เชซุส ทำได้ทุกๆ 59.1 นาที)
และมากกว่า เออร์ลิง ฮาลันด์ เมื่อปีก่อนทั้งซีซั่นอยู่ 10 นาที (ทุก ๆ 63.1 จาก 2,776 นาที) (ซาลาห์ 1,582 นาที)
จากประตูและแอสซิสต์ในเกมชนะ เวสต์แฮม ส่งให้ ซาลาห์ ทำสกอร์ไป 17 ลูกกับ 13 แอสซิสต์ บนเวที พรีเมียร์ลีก ณ ตอนนี้
...
ซาลาห์ เปลี่ยนระดับผลงานอันยอดเยี่ยมให้ออกมาจนเกิดสถิติใหม่ ๆ
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครที่ทำประตูกับแอสซิสต์ในเกมเกมเดียวกันเกินกว่า 7 ครั้งในซีซั่นนี้
ทว่า ซาลาห์ ทำมันได้โดยเพิ่มตัวเลขเป็น 8 ครั้งทั้งที่จำนวนนัดผ่านไปเพียง 18 เกม
คำถามตัวโต ๆ คือ เขาทำมันได้อย่างไร เขาคือผู้เล่นที่อายุเข้าใกล้ 33 ปีในอีกไม่กี่เดือน แล้วคงฟอร์มพีคไว้ได้แบบไม่หยุดยั้ง
"หากคุณมองดูตัวเลขของเขา คุณไม่อาจโต้แย้งได้ แต่มีนักเตะมากมายในลีกอื่นๆที่มีคุณภาพสูง"
"แน่นอนว่าตอนนี้ โม อยู่ในระดับนั้น เขาน่าจะยิงได้มากกว่านี้ในวันนี้ แต่ผมชอบความขยันของเขาขณะที่ไม่มีบอล"
"เขาหาตำแหน่งได้ดี หวังว่าเขาจะทำได้อย่างนี้ต่อไปอีกนาน" อาร์เน่อ พูดถึง ซาลาห์ ไว้แบบนั้น
เกมกับ เวสต์แฮม ชอตสร้างโอกาสจากการสัมผัสบอลแรกแล้วจบลงด้วยประตูของ โคดี้ กัคโป เนียนตา
ไม่ว่าเขาจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่มันกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นไปแล้ว
แม้ว่าผลงานของ ซาลาห์ ที่ทำออกมานั้นคือขั้นเวิลด์คลาส แต่คนเป็นโค้ชพยายามที่จะสร้างระบบเพื่อไม่ให้ทีมต้องการพึ่งพาความสามรถของใครคนใดคนหนึ่ง
"ผมชอบที่จะเห็นอะไรแบบนี้นะ เพราะหากคุณต้องไปพึ่งพาผู้เล่นเพียงคนเดียวทำประตู มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ แม้เป็นเรื่องดีที่คนคนหนึ่งทำประตูได้มากก็ตาม"
"การได้เห็นผู้เล่นคนอื่น ๆ ทำประตูได้รวมถึงคุกคามเขตโทษของคู่แข่งได้ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่เห็นอะไรแบบนี้"
ผลงานในลีกซีซั่นนี้ของ ซาลาห์ ที่ทั้งยิงทั้งจ่ายคิดเป็น 38 %ของประตูที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ มีแค่ คริส วู้ด จาก ฟอเรสต์ กับ เออร์ลิง ฮาลันด์ เท่านั้นที่มีตัวเลขมากกว่าเขา (42% กับ 44%)
เมื่อมองถึงเรื่องตัวเลขสถิติ คงใช้ประโยคที่ว่า ซาลาห์ แบกเกมรุกมากกว่าที่เคยทำในซีซั่นก่อน ๆ ก็ไม่ผิดนัก
เพราะเขามีส่วนร่วมจาก 3 ใน 4 ของค่าจำนวนประตูที่น่าจะทำได้ทั้งหมด และจังหวะการสร้างโอกาสทำประตูสวย ๆ ทั้งหมดของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ (ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยมีส่วนร่วมเยอะขนาดนี้คือในฤดูกาล 2020-21) ทั้งที่เขามีจังหวะได้ยิงไม่มากนักเมื่อเทียบกับผลงานตลอดช่วง 6 ฤดูกาลที่ผ่านมา
...
เรื่องสภาพจิตใจและความเป็นผู้ใหญ่ของเขามีมากขึ้น
อาร์แซน เวนเกอร์ อดีตผู้จัดการทีม อาร์เซน่อล เคยแนะนำ ซาลาห์ ว่าให้เล่นแบบเดิมต่อไป แล้ว ซาลาห์ ก็กลายเป็นนักเตะที่สามารถสร้างความแตกต่างจนช่วยให้ทีมชนะได้ในตอนที่ทีมต้องการพึ่งพาเขามากที่สุด
ต่อให้บางครั้งฟอร์มโดยรวมของเขาจะไม่ดีเท่าไหร่นักก็ตาม
ระบบของ อาร์เน่อ ช่วยให้ ซาลาห์ ได้อยู่ในพื้นที่สำหรับการเล่นเกมรุกมากขึ้นด้วย หลักฐานคือ ซาลาห์ ได้จับบอลตรงมุมขวาของกรอบเขตโทษและตรงริมเส้นในพื้นที่สุดท้ายเยอะขึ้น
การที่เขาเล่นได้หลายบทบาทเป็นอีกสิ่งที่ทำให้ ซาลาห์ กำลังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้
วันใดที่ อาร์เน่อ ใช้ระบบที่ไร้กองหน้าตามธรรมชาติ ซาลาห์ กับ กัคโป ก็จะอยู่ตรงริมเส้น ส่วน หลุยส์ ดิอาซ แม้จะรับบทกองหน้าเบอร์ 9 แต่มักจะวิ่งไปวิ่งมาเพื่อสร้างความอันตราย ซึ่งช่วยทำให้ ซาลาห์ ออกแนวเป็นกองหน้าตัวริมเส้นมากกว่าปีกทั่วไป
อาร์เน่อ ชม ซาลาห์ อยู่บ่อย ๆ ว่าขยัน แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ซาลาห์ ยังถูกใช้งานอย่างชาญฉลาดจนอาจจะมีส่วนช่วยทำให้เขาไม่หมดแรงง่าย ๆ
ฤดูกาลนี้เขาได้บอลในพื้นที่สุดท้ายเฉลี่ยแล้วเพียง 113 นาที ซึ่งถือเป็นตัวเลขด้านนี้ที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 เลย
อย่างไรก็ตาม ซาลาห์ มักจะถูกขอให้บีบกดดันแถวกลางสนามมากขึ้น ซึ่งทำให้ฟูลแบ็กอีกฝั่งมีอิสระในการเล่น
นี่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นมาวิ่งแทนเขา แต่เมื่อ โดมินิค โซโบซไล หรือ เคอร์ติส โจนส์ อยู่ในฝั่งเดียวกับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เช่นเดียวกับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แล้วนั้น ซาลาห์ ก็สามารถยืนอยู่แดนหน้าตามเดิมได้ ไม่ต้องวิ่งลงมาช่วยเกมรับ
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือรูปแบบการเล่นจากต้นเกมของชัยชนะเหนือ เวสต์แฮม
มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ แต่จากทั้งหมด 17 ประตูของ ซาลาห์ มีถึง 15 ลูกที่เกิดขึ้นในครึ่งหลัง
เขาดูแลร่างกายของตัวเองดีมาก ๆ และดูเหมือนว่าจะมีสภาพร่างกายที่สดกว่าคู่แข่งเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายเกมมันสามารถชิงความได้เปรียบจากเรื่องนั้นได้
ลิเวอร์พูล วางบอลจากแนวหลัง(ไดเร็คต์) ตรงไปยัง ซาลาห์ เพื่อให้เขาได้ดวลกับคู่แข่งแบบตัวต่อตัว
อัตราการเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งของเขากลับมาอยู่ที่ 49.2 เปอร์เซ็นต์ หลังจาก 3 ฤดูกาลก่อนตัวเลขด้านนั้นตกลงไป (2021-22 อยู่ที่ 39%, 2022-23 อยู่ที่ 34% และ 2023-24 อยู่ที่ 31.4%) เขายังชอบตัดเข้าด้านในและทะลวงแนวรับของคู่แข่งด้วย
อย่างไรก็ตาม ในด้านความสร้างสรรค์ในการเล่นนั้น ลิเวอร์พูล มีสมดุลมากกว่าที่เห็นแบบผิวเผินเยอะ
ซาลาห์ มีจังหวะครอสบอลจังหวะโอเพ่นเพลย์ และการเลี้ยงบอลมากขึ้น แต่เขาก็มีส่วนร่วมถึง 16.3% จากจำนวนค่าแอสซิสต์ที่น่าจะเป็นทั้งหมดของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ ซึ่งเกือบเท่ากับที่ทำได้ในแต่ละซีซั่นนับตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 เป็นต้นมา (มักจะอยู่ระหว่าง 13.7%-16%) ขณะที่การมีส่วนร่วมต่อผลงานด้านจังหวะสร้างโอกาสทองทั้งหมดให้กับ ลิเวอร์พูล ตกลงมาจากฤดูกาลก่อน
การที่ ซาลาห์ ทำแอสซิสต์เยอะขึ้นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องแบกภาระการสร้างเกมมากกว่าเมื่อก่อน แต่เป็นเพราะเพื่อนร่วมทีมของเขาจบสกอร์ได้เฉียบคมต่างหาก
...
เรื่องสัญญาของ ซาลาห์ ตลอดช่วงที่ผ่านมาพอจะสื่อได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายอยากทำงานร่วมกันต่อไป เพียงแต่ยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงร่วมกันสักที แล้วก็ยังไม่ใกล้เคียงที่จะได้ข้อสรุปด้วยหากอ้างอิงจากคำพูดของ ซาลาห์
ซาลาห์ พูดหลังเกมกับ เวสต์แฮม กับ สกาย สปอร์ตส์ ว่า ยังห่างไกลจากการต่อสัญญา
ว่ากันตรง ๆ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถปล่อยให้ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมแบบนี้เป็นซีซั่นสุดท้ายของ ซาลาห์ กับสโมสรได้
ถึงแม้จะมีการยื่นข้อเสนอไปแล้ว แต่อย่างที่ ดิ แอธเลติก รายงานไปเมื่อเดือนก่อนว่ายังไม่ค่อยมีความคืบหน้ามากเท่าไหร่นัก
นี่เป็นฤดูกาลที่ 8 ติดต่อกันที่เขาทำประตูให้ ลิเวอร์พูล ได้อย่างน้อย 20 ลูกจากทุกรายการ และ ซาลาห์ ก็กำลังแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีความสำคัญต่อทีมมากเท่ากับครั้งก่อน ๆ
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในตอนนี้ดูเหมือนกำลังสนุกกับการเล่นฟุตบอลมากกว่าครั้งไหน ๆ
ซาลาห์ ยิ้มให้เห็นอย่างต่อเนื่องทั้งในและนอกสนาม แล้วถ้าเขายังเล่นได้แบบนี้ต่อไปแล้วล่ะก็ เขาคงจะได้ยิ้มพร้อมกับชูถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้แน่ ๆ
HOSSALONSO