ลิเวอร์พูล กลับมาโชว์ฟอร์มดุอีกครั้งหลังสะดุดเสมอ 2 เกมในลีก โดยสามารถบุกไปไล่ต้อน สเปอร์ส 6-3 ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ฟอร์มการเล่นของทัพ "หงส์แดง" ในแมตช์นี้โดดเด่นมากๆ โดยเฉพาะเกมรุกที่เล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เกมรับอาจมีบางจุดที่ต้องรีบปรับปรุงแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องสมาธิการเล่น เพราะช่วงท้ายเกมแนวรับหลุดโฟกัสไปบ้างทำให้ทีมเสียประตู
อย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วฟอร์มของ "เดอะ เร้ดส์" ยอดเยี่ยมมากๆ และสมควรแล้วที่พวกเขาจะสามารถยึดตำแหน่งจ่าฝูงต่อไป ส่วนจะไปถึงแชมป์ลีกหรือไม่...หนทางยังอีกยาวไกล ยังไม่ต้องรีบร้อน !!!
1. เกมรุกฉับไว-เกมรับมีประมาท
แมตช์นี้ โค้ชอาร์เน่อ จัดหนักจัดเต็มด้วยการส่งสามประสานที่ไว้วางใจได้ที่สุดอย่าง โกดี้ คักโป, หลุยส์ ดิอาซ และ โม ซาลาห์ ลงไปกระซวกตาข่ายซึ่งทั้งสามคนทำผลงานได้สมใจปรารถนา แม้ในรายของ คักโป จะไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่มีส่วนในการสร้างสรรค์เกมรุกอย่างมาก
จุดเด่นของ "หงส์แดง" ในเกมนี้ไม่ใช่แค่สามประสานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแดนกลางที่คอยทำหน้าที่เติมเกมบุกทำให้ทีมโจมตีแนวรับ สเปอร์ส ได้อย่างดุดัน จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการโหมบุกเป็นพายุ และเต็มไปด้วยความฉับไวของทีมเยือนทำให้เจ้าบ้านตั้งรับแทบไม่ทันและสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้อย่างที่เห็น
อย่างไรก็ตาม จุดที่ นายใหญ่ชาวดัตช์ คงต้องรีบปรับแก้คงหนีไม่พ้นการเล่นเกมรุก เพราะแมตช์นี้การเสียสามประตูแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของทีมทั้งการติดประมาท และการประกบคู่แข่งที่หละหลวม จริงๆ แล้วทีมไม่ควรเสียถึงสามลูกด้วยซ้ำถ้าหากเล่นอย่างมีสมาธิมากกว่านี้
แน่นอนว่าการเห็นทีมสร้างเกมรุกได้ดุดันและน่ากลัวเป็นเรื่องที่น่าประทับใจ แต่ถ้าหากเกมรับทำพลาดแบบไม่จำเป็น นั่นอาจจะส่งผลเสียหายได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ทีมต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดัน โค้ชอาร์เน่อ จำเป็นต้องติวลูกทีมให้เล่นแน่นอน และไม่ปล่อยให้คู่แข่งได้เปิดเกมบุกแบบง่ายๆ
2. เกมรับ สเปอร์ส ยวบ
หนึ่งในสิ่งที่แฟนบอลเห็นในแมตช์นี้ก็คือเกมรับที่น่าผิดหวังของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ซึ่งสิ่งนี้ทุกๆ คนได้เห็นอยู่บ่อยๆ ในยุคของ แอนจ์ ปอสเตโคกลู และดูเหมือนว่าแทบจะไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย
การเล่นที่ผิดพลาดของแผงแบ็กโฟร์ และเฟรเซอร์ ฟอร์สเตอร์ นายทวารทำให้ "ไก่เดือยทอง" ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กดดัน แนวรับที่เปิดพื้นที่โล่งเหลือเกินทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล เจาะเข้าไปทำประตูได้หลายครั้งหลายหน
แม้ว่าการเล่นเกมรุกของ สเปอร์ส จะมีความดุดันและอันตราย แต่การเล่นเกมรับที่หละหลวมแบบนี้ ต่อให้ยิงประตูได้เยอะแค่ไหนทีมก็ยากที่จะคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการ ดังนั้นนี่คือสิ่งที่แฟนบอลน้องไก่ อยากเห็นทีมรักมีการปรับแก้ในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม โค้ชแอนจ์ แสดงออกอย่างชัดเจนเรื่องที่ไม่คิดเปลี่ยนสไตล์การเล่น ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้ก็คือการพยายามสร้างเกมรุกที่อันตรายยิงขึ้นเพื่อยิงประตูคู่แข่งให้มากกว่าเสียประตู ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย
3. โม ซาลาห์ สร้างสถิติไม่หยุด
เกมนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สร้างผลงานดีมีคุณภาพที่ทำให้บอร์ดบริหารต้องขบคิดแล้วว่าทำไมควรมอบสัญญาฉบับใหม่ตามที่เขาต้องการ เพราะฟอร์มที่สุดยอดในวันสามสิบต้นๆ ทำให้เขาเป็นนักเตะที่สโมสรขาดไม่ได้เลยจริงๆ
"บังโม" สร้างชื่อเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ของ พรีเมียร์ลีก ที่ยิงและแอสซิสต์ได้มากกว่า 10 ประตูเป็นซีซั่นที่สี่ติดต่อกัน (2021/2022, 2022/2023, 2023/2024 และ 2024/2025) หลังทำสองประตูกับสองแอสซิสต์ในเกมกระซวกน้องไก่ยับคาบ้านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ซาลาห์ ยังทะยานขึ้นนำเดี่ยวเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ พรีเมียร์ลีก เรียบร้อยแล้วจากผลงาน 15 ประตู และ 11 แอสซิสต์จาก 17 นัด ขณะที่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ กองหน้าทีม แมนซิตี้ ยิงได้ 13 ประตู
ขณะเดียวกัน "คิง ออฟ อียิปต์"กระทุ้งให้ ลิเวอร์พูล รวมทั้งสิ้น 229 ประตูแล้วจาก 373 นัด ขยับขึ้นสู่อันดับสามดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของถิ่น แอนฟิลด์ เหนือ บิลลี่ ลิดเดลล์ ที่ยิงได้ 228 ประตูจากการลงเล่น 534 นัด
ทั้งนี้ ดาวซัลโว "หงส์แดง" สามรายที่มีสถิติเหนือกว่า ซาลาห์ ประกอบไปด้วย เอียน รัช 346 ประตู (660นัด) , โรเจอร์ ฮันท์ 285 ประตู (492นัด) และ กอร์ดอน ฮ็อดจ์สัน 241 ประตู (377นัด)
4. โซโบซไล ฟอร์มร้อนแรง
แม้ว่าเกมนี้นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนทำผลงานได้น่าประทับใจมากๆ แต่ถ้าหากจะมองหาคนที่โดดเด่นซึ่งมีประโยชน์ในการสร้างเกมรุก และช่วยเกมรับ หลายคนยกให้ โดมินิค โซโบซไล ที่เล่นครบเครื่องจริงๆ
กัปตันทีมชาติฮังการี สวมบทหัวใจในแดนกลางได้เป็นอย่างดี แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเล่นเกมรุกได้แบบสบายใจ นั่นก็เพราะมี ไรอัน กราเฟนแบร์ก กับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ คอยทำหน้าที่เล่นเกมรับ
"โซโบ" มีบทบาทสำคัญในจังหวะที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำประตู ด้วยการเอาชนะการโหม่ง อาร์ชี่ เกรย์ กับ เจด สเปนซ์ นอกจากนี้เขายังแอสซิสต์ให้กับ โม ซาลาห์ รวมทั้งสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมและตัวเองหลายครั้ง แต่สุดท้ายทำได้เพียง 1 ประตูเท่านั้น
สิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือ "บอสอาร์เน่อ" ต้องพยายามทำให้ โซโบซไล รักษามาตรฐานการเล่นแบบนี้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะถ้า "โซโบ" เล่นได้ดีเหมือนในช่วงที่ผ่านมา บอกเลยว่าแดนกลางของ "เดอะ เร้ดส์" ยากที่จะใครจะต้านทานได้
5. จ่าฝูงยาวๆ
ลิเวอร์พูล ยังคงรักษาฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยชัยชนะในแมตช์นี้ทำให้พวกเขามีแต้มทิ้งห่าง เชลซี ไปแล้ว 4 คะแนน และนำห่าง อาร์เซน่อล 6 แต้ม โดยที่แข่งน้อยกว่า 1 แมตช์ด้วย
สำหรับตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างอยู่ในกำมือของ "หงส์แดง" ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการโฟกัสกับเกมของตัวเองเท่านั้น อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องการคว้าแชมป์ลีก เพราะหนทางยังอีกยาวไกล และทุกอย่างอาจพลิกผลันได้ถ้าหากเสียสมาธิ เหมือนกับ 2 เกมก่อนหน้านี้ที่ทำได้เพียงเสมอ นิวคาสเซิ่ล และ ฟูแล่ม
ช่วงสำคัญที่ อาร์เน่อ แอนด์ โค. ต้องเตรียมตัวให้ดีนั่นก็คือเกมบ็อกซิ่ง เดย์ และช่วงปีใหม่ เพราะโปรแกรมแน่นเอี๊ยด และอาจส่งผลต่อสภาพร่างกาย ซึ่งถ้าหากทีมขาดนักเตะคีย์แมนหลายคน มีสิทธิ์ฟอร์มสะดุดได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องซูฮกให้กับสไตล์ "อาร์เน่อ บอล" ที่กุนซือชาวดัตช์นำมาใช้กับทีม เพราะมันมีความยืดหยุ่นตลอดเวลา และถ้านักเตะทุกคนสามารถทำได้ตามแท็กติกที่โค้ชหัวใสวางเอาไว้ โอกาสที่พวกเขาจะประสบความสำเร็จก็มีสูงเลยทีเดียว
ทอมเม้ง