คนเป็นแฟนบอลคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้..

คนเป็นแฟนบอลคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้..
ความผิดพลาดส่วนบุคคล ฟอร์มการเล่นส่วนตัว หรือจุดพลิกผันที่ทำให้ทีมต้องพบกับความยากลำบากนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่อารมณ์ร่วมที่ทุกคนมีด้วยกันจากการได้เห็นความมุ่งมั่นและบุคลิกที่แสดงออกมาในสนามนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย

ผมเชื่อว่าแม้จะเสียดาย 2 คะแนนที่หายไปอีกนัด แต่แฟนบอลลิเวอร์พูลส่วนใหญ่เข้าใจดีถึงงานยากในสถานการณ์ที่ต้องเล่นด้วยคนน้อยกว่าฟูแล่มเกือบ ๆ 90 นาทีถ้ารวมช่วงทดเวลา 2 ครึ่งเข้าไปด้วย

วางผลงานส่วนตัวของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ใน 17 นาทีของเกมนี้เอาไว้ข้าง ๆ นั่นคือเรื่องที่ตัวนักเตะกับโค้ชของเขาต้องไปจัดการปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่นักเตะลิเวอร์พูลแสดงออกมานั้นน่าประทับใจจริง ๆ

กับการตอบสนองที่ปรากฏให้เห็น ทั้งที่เหลือ 10 คนแต่ไม่สนใจ ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ชนะให้ได้ วิ่ง วิ่ง และวิ่ง บุก บุก และบุก ปรับตำแหน่ง แก้แท็กติก เปลี่ยนตัว พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อเอาประตูให้ได้ สู้ยิบตาแบบลืมเหนื่อย รู้ตัวอีกทีก็ใช้แรงไปแล้วไม่รู้กี่ก๊อก

มันก็เป็นอย่างที่ อาร์เน่อ ชล็อต บอกหลังจบเกมนั่นแหละ คงไม่อาจขออะไรจากนักเตะมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

"I thought we were outstanding - ผมคิดว่าเรายอดเยี่ยมมากนะ” กับการตามหลัง 2 ครั้งด้วยผู้เล่นที่เหลือน้อยกว่า แต่นักเตะและเสียงเชียร์กระหึ่มจากเดอะค็อปในสนามทำให้ความรู้สึกนั้นดีเยี่ยมจริง ๆ

ผมคิดว่ากระทั่ง โรเบิร์ตสัน เองก็ควรจะได้รับการมองเห็นในมุมที่ ชล็อต มองเช่นกัน กุนซือหงส์แดงให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า ไม่มีอะไรน่าตำหนิโรเบิร์ตสันเลย เราต้องไม่ลืมว่าร็อบโบ้เจ็บมากจากการถูก อิสซ่า ดิย็อป ยันเข้าที่หัวเข่าช่วงต้นเกม มันไม่ใช่การเจ็บธรรมดาแต่แบ๊กซ้ายสกอตต์กัดฟันเล่นต่อเพราะทีมไม่เหลือแบ๊กซ้ายให้ใช้แล้ว

ชล็อตมองเห็นอาการวิ่งขัด ๆ ของร็อบโบ้และตัดสินใจดูสถานการณ์ต่อไปอีกสักพัก แต่ใบแดงมาเกิดขึ้นเสียก่อน

แน่นอนครับมันคือความผิดพลาดโดยตรงของโรเบิร์ตสัน ทั้งจังหวะปล่อยบอลในประตู 0-1 และจังหวะจับบอลลั่นเป็นที่มาของการถูกไล่ออกตั้งแต่ 17 นาทีแรก แต่สุดท้ายแล้ว นั่นคือเรื่องที่คนทำงานต้องนำไปปรับปรุง และชล็อตเลือกที่จะพูดให้เราอย่าเพิ่งลืมแคแร็กเตอร์นักสู้ที่ร็อบโบ้นำมาสู่ทีม

เขายังมองเห็นคุณค่าของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และหวังว่าเดอะค็อปจะไม่ทอดทิ้งความรู้สึกที่มีต่อร็อบโบ้นี้ไปเช่นกัน

คงจะมีไม่บ่อยนักนะครับที่ทีมใหญ่พลาดเสมอคู่แข่งที่อันดับต่ำกว่าในบ้านตัวเอง แต้มกระเด็นไป 2 แต้ม แต่ยังสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้น

เสียหายไหม.. แน่นอนว่าเสียหาย แต่ใครจะเดือดดาลโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้ลงเมื่อได้เห็นการสู้ตายอย่างนี้

ก็นั่นล่ะครับ คนเป็นแฟนบอลคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้..

ผมชอบความนิ่งไม่ลนลานของชล็อตหลังจากที่โรเบิร์ตสันถูกไล่ออก

ยังไม่จำเป็นต้องถอดใครออก แก้ไขสถานการณ์ให้ไหลไปต่อได้ด้วยนักเตะที่เหลืออยู่ในสนาม

ร็อบโบ้ถูกไล่ออกแบ๊กซ้ายว่าง.. ถอย โกดี้ คักโป ลงมายืนแทน ขยับ หลุยส์ ดิอาซ มาเล่นกองหน้าฝั่งซ้ายแทนคักโป หุบ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เล่นกองหน้าตัวเป้าแทนดิอาซ

ดัน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เล่นปีกขวาแทนซาลาห์ ฉีก โจ โกเมซ เล่นแบ๊กขวาแทนเทรนต์ เพื่อถอย ไรอัน กราเฟนแบร์ก มายืนเซนเตอร์แบ๊กคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์

เคอร์ติส โจนส์ กับ โดมินิก โซโบซไล ประสานงานคู่กลาง

เล่นแบบนี้ไปไม่ถึง 10 นาที ชล็อตปรับอีกรอบให้สมดุลขึ้น คักโปกลับไปยืนหน้าซ้าย ดิอาซกลับไปเล่นหน้าเป้า ซาลาห์คืนตำแหน่งหน้าขวา เทรนต์ถอยมาเป็นแบ๊กขวา แล้วโยกโกเมซข้ามไปยืนแบ๊กซ้าย กราเฟนแบร์กยังเล่นเซนเตอร์คู่ฟาน ไดค์

ปรับรอบนี้แล้วก็เล่นลากยาวข้ามไปจนถึงครึ่งหลัง ไม่เปลี่ยนตัวใครช่วงพักครึ่งด้วย นั่นหมายความว่า ชล็อต ยังเชื่อมั่น 10 คนที่อยู่ในสนามว่าตอบสนองกับการปรับเกมของเขาได้ดี ยังคงครองบอลบุกเข้าใส่และสร้างโอกาสทำประตูเป็นระยะ

แล้วแค่นาทีเศษ ๆ ของครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลก็ตีเสมอได้จริง ๆ

การผ่านบอลไปเรื่อย ๆ ของลิเวอร์พูลกดดันเกมป้องกันของฟูแล่มให้ถอยเข้าไปยืนกันในเขตโทษ กระทั่ง แอนโธนี่ โรบินสัน ที่อยู่ไม่ห่าง ซาลาห์ มาตลอดก็ยังเผลอเปิดพื้นที่ให้

รู้ตัวอีกทีเมื่อบอลมาถึงเท้าของซาลาห์ แบ๊กซ้ายทีมชาติสหรัฐฯ ก็อยู่ห่างจนต้องยอมปล่อยให้ดาวเตะอียิปต์ได้โยนโล่ง ๆ แล้วไปลุ้นกันอีกทีในเขตโทษ

น่าเสียดายสำหรับโรบินสันซึ่งเล่นได้โดดเด่นในเกมนี้ที่บอลจากเท้าของซาลาห์ถูกพุ่งโหม่งตุงตาข่ายที่เสาไกลโดยคักโป กลายเป็นแอสซิสต์ที่ 100 ของซาลาห์กับทีมหงส์แดง

กับนักเตะอย่างซาลาห์ คุณประกบเขาพลาดทีเดียว คุณก็ถูกเขาลงโทษได้เลยแบบนี้

ช่วงเวลาหลังจากนั้นคือความสนุก เวลายังมีเหลือเฟือให้ลิเวอร์พูล 10 คนยิงแซงฟูแล่ม 11 คน และเจ้าถิ่นก็มีโอกาสด้วยโดยเฉพาะจังหวะโต้กลับนาทีที่ 65 ที่ โซโบซไล แทงบอลทะลุช่องติดไซด์นิด ๆ ไหลไปเข้าเท้าซ้ายข้างถนัดของซาลาห์แบบป้อนให้ยิง แต่ซาลาห์ยิงหลุดเสาแรกออกไป

กระทั่งนาทีที่ 70 ชล็อตเปลี่ยนตัวครั้งแรก จาเรลล์ ควอนซาห์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ ลงมาแทน โจนส์ กับ คักโป

ดาร์วิน ลงมาเล่นหน้าเป้าแล้วโยก ดิอาซ ไปเล่นหน้าซ้ายแทนคักโป ส่วน ควอนซาห์ มายืนเซนเตอร์แบ๊กคู่ ฟาน ไดค์ เพื่อดัน กราเฟนแบร์ก กลับไปเล่นกองกลาง

ถามว่าทำไมไม่ใช้ กราเฟนแบร์ก เล่นกลางแทน โจนส์ เลยตั้งแต่แรกที่ ร็อบโบ้ โดนไล่ออก คำตอบง่าย ๆ ก็เพราะนาทีที่ 17 ยังไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวใคร ทุกคนยังทำหน้าที่ได้ดี มีปฏิกิริยาที่ดีต่อเกม แต่ถึงนาทีที่ 70 พละกำลังของโจนส์ถดถอยลงแล้ว ได้เวลาเปลี่ยนเอาความสดชื่นลงไปแทนแล้วเท่านั้นเอง

กระนั้นฟูแล่มที่เล่นอย่างอดทน รอเปลี่ยนเกมจากรับเป็นรุกด้วยการตัดบอล สกัดบอล หรือเก็บบอลจังหวะสองก็ชิงทำประตูที่ 2 ของตัวเองได้ก่อน

มันเป็นประตูที่ได้มาง่าย ๆ จากการโจมตีพื้นที่ฝั่งขวาของลิเวอร์พูลอีกครั้ง โรบินสันรับบอลริมเส้นฝั่งซ้ายในแดนตัวเอง เทรนต์ที่วินาทีนั้นยังอยู่ด้านในจากตำแหน่งอินเวิร์ตฟูลแบ๊กเลือกที่จะวิ่งเข้าใส่

มันเป็นทางเลือกที่สร้างประโยชน์ได้ไม่มากเพราะพื้นที่รอบตัวเขากว้างเกินไปและไม่มีเพื่อนร่วมทีมช่วย โรบินสันจึงจ่ายบอลผ่านหน้าเทรนต์เข้าไปให้ แฮร์รี่ วิลสัน ที่รอบอลตรงกลางแบบง่าย ๆ แล้ววิ่งตัวเปล่าทะลุเข้าสู่แดนลิเวอร์พูลทันที

สถานการณ์ในพื้นที่ป้องกันฝั่งขวาของลิเวอร์พูลตอนนั้นจึงกลายเป็นฟูแล่มมีทั้ง อเล็กซ์ อิโวบี้ ที่รับบอลต่อเนื่องมาจากวิลสันในพื้นที่โล่งโจ้ง และ โรบินสัน ที่เติมขึ้นไปสนับสนุน โดยที่ เทรนต์ กำลังวิ่งไล่กวดเต็มที่ตามมา.. แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว

อิโวบี้ ไหลบอลเข้าเขตโทษ โรบินสัน สปรินท์ตัดหน้า ควอนซาห์ ไปตวัดบอลก่อนถึงเส้นหลังเข้ากลางให้ โรดริโก้ มูนิซ ชาร์จเข้าเสาไกล

ประตูนี้เกิดขึ้นในนาทีที่ 76 มันแทบจะทำให้หมดหวังเพราะลิเวอร์พูลกลับไปเจอโจทย์เดิมคือต้องยิง 2 ประตูแซงชนะให้ได้ แต่ในเวลาที่เหลือน้อยลงกว่าเดิมมาก

แต่ลิเวอร์พูลไม่ทิ้งความหวัง ชล็อตขยับตัวทันที ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กับ ดีโอโก้ โชต้า ถูกส่งลงไปแทน เทรนต์ กับ โซโบซไล พร้อมปรับเข้าสู่โหมดเกมรุกเต็มตัว

กองหลังเหลือยืนแค่ 3 คน โกเมซ-ฟาน ไดค์-ควอนซาห์ กลางรับเหลือแค่กราเฟนแบร์ก คนที่เหลือบุกล้วน ๆ ดิอาซ-ดาร์วิน-โชต้า-ซาลาห์-เอลเลียตต์

ให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กับตอนที่ ชล็อต ยัด ดิอาซ ลงไปแทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ แล้วปรับระบบจาก 4-2-3-1 เป็น 4-2-4 ลุยแหลกก่อนจะรัว 2 ประตูแซงชนะไบรท์ตันเมื่อต้นเดือนที่แล้วยังไงยังงั้น

เมื่อถึงเวลาต้องลุย ชล็อตก็ไม่รีรอที่จะถลกแขนเสื้อสั่งลุยเหมือนกัน

ประตูตีเสมอ 2-2 ของ โชต้า คือผลตอบแทนจากความพยายาม แน่นอนความคมของดาวยิงโปรตุกีสคือความแตกต่างและต้องให้เครดิตเต็มที่ แต่ผมยังมองไปที่สปิริต ทีมเวิร์ก และการมีส่วนร่วมของคนอื่น ๆ ในทีมด้วย

ดาร์วิน ที่ฤดูกาลนี้ได้รับบทบาทถอยต่ำกว่าเดิมเพื่อมาเชื่อมเกมมากขึ้นซึ่งอาจเป็นวิธีการเรียกความเชื่อมั่นของชล็อต ถอนตัวมารับบอลที่ โกเมซ แทงขึ้นมาให้ตรง ๆ แล้วจ่ายเข้าช่องต่อให้ โชต้า โยกหลบ ฆอร์เก้ เกนก้า ก่อนซัดผ่าน แบรนด์ เลโน่ เข้าไป

สิ่งที่เราต้องไม่ลืมก็คือ เกมนี้ลิเวอร์พูลเล่น 10 คนมาตั้งแต่นาทีที่ 17 แต่ถึงตอนนั้นเข้าสู่ 10 นาทีสุดท้ายยังเร่งเครื่องเดินหน้าลุยแหลกเพื่อทำประตูให้ได้ ไม่มีใครท้อหรือแสดงอาการถอดใจให้เห็นเลย

และเมื่อโชต้ายิงตีเสมอ 2-2 ได้ในนาทีที่ 86 เขารีบวิ่งไปเก็บบอลเพื่อมาเขี่ย แต่ยังช้ากว่าซาลาห์ นักเตะหงส์ฉลองประตูกันเล็กน้อยแล้วรีบกลับแดนตัวเองทันทีเพื่อเล่นต่อ

นี่คือทีมที่เล่น 10 คนมาร่วม 70 นาทีนะครับ ไล่ตีเสมอ 2 ครั้ง บุกแบบบ้าเลือด แล้วยังรีบเก็บบอลเพื่อทำประตูแซงชนะให้ได้

ทัศนคติแบบนี้ แคแร็กเตอร์แบบนี้ ไม่ชมก็คงไม่ได้จริง ๆ และมันทำให้ความพึงพอใจทั้งมวลอยู่เหนือความผิดพลาดส่วนบุคคล

ตอนที่ ควอนซาห์ ซึ่งระยะนี้ยังดูขาดความมั่นใจโหม่งคืนหลังให้ อลีสซง ผิดเหลี่ยมกลายเป็นออกหลังเสียลูกเตะมุม ฟาน ไดค์ เดินเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจรุ่นน้อง

ไม่เป็นไร พลาดไปก็แก้ตัวใหม่ เรามาช่วยกันป้องกันประตู

และเมื่อลูกเตะมุมนั้นของฟูแล่มพ้นอันตรายออกหลังไป นักเตะลิเวอร์พูลทุกคนวิ่งขึ้นหน้าไปเข้าตำแหน่ง บุกต่อ พร้อมเสียงเชียร์ที่กัมปนาทขึ้นอีกครั้งในแอนฟิลด์ มันน่าจะเพิ่มพลังฮึดให้ควอนซาห์ได้มากขึ้น ท้ายเกมนาที 90+8 เขาเติมขึ้นไปเปิดบอลเรียกลูกเตะมุมและโอกาสทำประตูให้ทีม

สปิริตทีมไม่มีพร่องไปเลย มันยังคงแข็งแกร่งอย่างเคย

ผมคิดว่าพลังมหาศาลแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งโค้ช นักเตะ และกองเชียร์ ที่ลิเวอร์พูลทำให้เห็นในเกมนี้นั้นไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายอะไรอีก

"It's jota! Twisting, turning and scoringgg! Returning with a BANG!" เสียงผู้บรรยายภาคภาษาอังกฤษระเบิดถ้อยคำอย่างนั้น

ผมยังจำความรู้สึกในวินาทีนั้นได้ มันยังกรุ่น ๆ อยู่เลย

ความหวังพลุ่งพล่านอีกครั้ง มันกลับมาเปล่งประกายอีกหน แต่ที่สำคัญคือมีความสุขเป็นบ้ากับการต่อสู้ของทุกคน

เอาสิวะ พวกเอ็งเอา ข้าก็เอา ลุยไหนลุยกัน ลุยเข้าไป

แม้สุดท้ายจะไม่สำเร็จ มันอาจเป็น 2 คะแนนที่เสียไป แต่เชื่อเถอะครับ.. สิ่งที่ได้จากเกมนี้นั้นมีแน่

ศรัทธาของทุกคนยังคงอยู่ และอย่างน้อยเราก็เชื่อมั่นในทีมชุดนี้ได้ว่าพวกเขาจะสู้ตาย ไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport