The worst case ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ The best case ของลิเวอร์พูล เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
หลังความพ่ายแพ้ต่อไบรท์ตัน ที่ทำให้ทีมเรือใบสีฟ้าแพ้ติดต่อกันเป็นเกมที่ 4 ในทุกรายการและถูกลิเวอร์พูลทิ้งไปเป็น 5 คะแนนก่อนเข้าสู่ช่วงปฏิทินฟีฟ่าเดือนพฤศจิกายน ซิตี้มีโอกาสเจอกรณีที่แย่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
นั่นคือแต้มที่เคยตามหลังจาก 5 กลายเป็น 11 ภายในเวลาเพียง 8 วัน ถ้าพลาดท่าแพ้ทั้ง สเปอร์ส ที่เป็นของแสลงมาตลอด และไม่มีแต้มในการไปเยือนลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์
แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ซิตี้ แพ้ สเปอร์ส ยับเยินคาถิ่น ต่อด้วยออกไปถูกหงส์แดงอัดหัวทิ่มเมื่อคืนที่ผ่านมา
-----------
อันดับของทีมเรือใบสีฟ้ารูดพรวดเดียวจากรองจ่าฝูงลงไปสู่อันดับ 5 ของตาราง ขณะที่ลิเวอร์พูลยังแข็งแกร่ง เตะ 13 นัดชนะ 11 เสมอ 1 แพ้ 1 ทิ้งห่างอาร์เซน่อลที่ขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงแทน 9 แต้ม
ทิ้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 11 แต้ม..
ระยะห่างที่ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกบอกว่าแม้จะเคยสร้างวีรกรรมเร่งเครื่องแซงคว้าแชมป์ได้ถึง 6 ครั้งจากการตามหลังระหว่าง 8-10 คะแนน แต่ทีมเรือใบสีฟ้ายังไม่เคยเป็นแชมป์ถ้าต้องตามใครเกิน 10 แต้ม
เป็นภารกิจยิ่งใหญ่ที่ท้าทายทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อีกครั้งหลังจากไล่ทุบสถิติน้อยใหญ่มาแล้วเป็นว่าเล่น
แชมป์ลีกสูงสุด 4 ปีติดต่อกันเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ก็ใช่ เก็บคะแนนได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาลก็ใช่ (100 แต้ม) ได้คะแนนจากเกมเยือนมากสุดในหนึ่งฤดูกาลก็ใช่ (50 แต้ม)
แน่นอนว่าในระยะยาวเราคงยังไม่สามารถตัด แมนฯ ซิตี้ ออกจากเส้นทางได้ เพียงแต่เวลานี้ภาพของพวกเขากำลังย่ำแย่หนักจริง ๆ
กับเกมที่เมอร์ซี่ย์ไซด์เมื่อคืนวันอาทิตย์ เป๊ปจัดวางกำลังอย่างละเอียดที่สุด นักเตะตัวรุกหลายคนถูกจับนั่งข้างสนามก่อนทั้ง เควิน เดอบรอยน์, แจ๊ค กรีลิช, เฌเรมี่ โดกู และ ซาวินโญ่
ด้วยเหตุผลทั้งเรื่องสภาพร่างกายและแผนสองที่อาจส่งลงเล่นในช่วงครึ่งหลังที่นักเตะเจ้าถิ่นอาจจะโรยราลง
ผู้เล่นฟอร์มตกอย่าง เอแดร์ซอน และ ยอสโก้ กวาดิโอล ถูกดร็อป แทนที่ด้วย สเตฟาน ออร์เตก้า กับ เนธาน อาเก้ ขณะที่เซนเตอร์แบ๊กตัวหลัก รูเบน ดิอาส หายเจ็บกลับมาปักหลักตัวจริงทันที
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อชนะการเสี่ยงเหรียญ ซิตี้ยังเลือกแดนให้ ลิเวอร์พูล บุกใส่อัฒจันทร์ฝั่งเดอะค็อปเลยตั้งแต่ครึ่งแรก พวกเขาทราบดีถึงพลังของมันที่อาจเป็นตัวแปรสำคัญได้ในครึ่งหลัง
(ผู้ตัดสินโยนเหรียญเสี่ยงทายโดยไม่รอ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กัปตันทีมลิเวอร์พูลที่กำลังยุ่งอยู่กับมัสค็อต แต่ก็เป็นซิตี้ที่ชนะการเสี่ยงเหรียญ)
ลดทอนความเสี่ยงทุกอย่างให้หมด ละเอียดทุกจุดที่อาจส่งผลกระทบต่อทีม ด้วยทราบดีว่าระดับของความมั่นใจและผลงานเวลานี้เป็นรองลิเวอร์พูล ทั้งยังต้องไปเล่นในสนามที่ยากที่สุดสนามหนึ่งในโลกลูกหนัง
กระนั้นลูกทีมของกวาร์ดิโอล่าก็ยังเอาไม่อยู่ มันคือเกมที่ลิเวอร์พูลชนะคู่ปรับสำคัญอย่างเด็ดขาด เหนือกว่าทั้งรูปเกม โอกาส การสร้างสรรค์ และรายละเอียดปลีกย่อยแทบจะทุก ๆ เรื่อง
ความฮึกเหิมเป็นของทีมหงส์แดง การออกตัวในฤดูกาลใหม่ด้วยผลงานชนะ 17 เสมอ 1 จาก 19 เกมทุกรายการ บวกกับการแพ้รวด 5 นัดและไม่ชนะใครมา 6 เกมติดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้บรรยากาศความคึกคักเป็นของฝั่งเจ้าบ้านเต็มที่
ลิเวอร์พูลลงสนามด้วยความมั่นใจทุกภาคส่วน ไม่มีโอกาสไหนเหมาะไปกว่าช่วงนี้อีกแล้วสำหรับการน็อก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และสลัดหนียอดทีมจากแมนเชสเตอร์ให้ไกลขึ้นไปอีก
เสียงเชียร์ดังกระหึ่ม บีบคั้นผู้มาเยือนตั้งแต่เสียงนกหวีดยังไม่ดัง บรรยากาศในแอนฟิลด์เข้มข้นชนิดที่ทุกคนพร้อมและหมายมั่นปั้นมือกันมาจากบ้าน
ขณะที่การจัดตัวของ อาร์เน่อ ชล็อต ก็เป็นไปอย่างราบรื่น ด้วยเวลานี้ลูกทีมทุกคนหมุนเวียนทดแทนกันได้
อิบราฮิมา โกนาเต้ เจ็บ โจ โกเมซ เล่นคู่กับ ฟาน ไดค์ แทน
คอสตาส ซิมิกาส ยังเจ็บ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ทำหน้าที่แบ๊กซ้ายเบอร์หนึ่งไปก่อนยาว ๆ
คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ เจ็บ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นตัวหลักอยู่แล้ว เพียงแต่ ชล็อต ใช้งาน เทรนต์ อย่างทะนุถนอมส่ง จาเรลล์ ควอนซาห์ ลงไปแทนในช่วงสิบกว่านาทีสุดท้าย
เซนเตอร์แบ๊กอาชีพอย่างควอนซาห์เองก็รับผิดชอบภาระใหม่ได้ดี ไม่เพียงเท่านั้นเพื่อน ๆ พี่ ๆ ยังช่วยกันซ้อนเก็บตกจังหวะสองในการดวลกับ เฌเรมี่ โดกู ให้
ทีมของ ชล็อต ยังคงโดดเด่นเรื่องการช่วยกันเล่นเป็นทีม จัดการกับสถานการณ์ได้อย่างเยือกเย็นและมั่นใจ
ในด้านของแท็คติกที่ใช้ ลิเวอร์พูลเดินเครื่องใส่ตั้งแต่ครึ่งแรก บีบกดดันแดนบนต่อเนื่อง คุกคาม ดุดัน และรวดเร็วไม่ให้ซิตี้ตั้งเกมจากแดนหลังได้ตามถนัด
ลิเวอร์พูลชิงแย่งบอลมาครองได้หลายครั้ง ที่ยิ่งอันตรายก็คือดูเหมือนนักเตะหงส์จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่ออยู่เสมอ
ดวลชนะ เก็บบอลจังหวะสอง ดักตัดบอล หรืออ่านทางแย่งบอลจากบอลแรกของนักเตะซิตี้ เมื่อแย่งมันได้แล้วก็พร้อมเล่นต่อทันที บางครั้งเอาตัวบังเก็บบอล บางครั้งตวัดส่งให้เพื่อนที่อยู่ใกล้อย่างรวดเร็ว หรือบางครั้งก็พาบอลลากขึ้นหน้าไปเอง
ลิเวอร์พูลเอาชนะซิตี้ทั้งบอลแรกและบอลสอง กลายเป็นการควบคุมเกมได้อยู่หมัด ยิ่งไปกว่านั้นความมั่นใจที่หดหายของนักเตะสีฟ้ายังทำให้เสียบอลในแดนกลางและแดนตัวเองบ่อย ถูกเจ้าถิ่นอ่านทางรุมแย่งเอาไปได้หมด
เกมรุกของลิเวอร์พูลก็ยังอันตรายสร้างความปั่นป่วนได้มาก บอลสั้นสลับยาวพร้อมวางขึ้นหน้าไปยังพื้นที่ว่าง เร็วและแม่นยำทำให้กองเชียร์ได้ลุ้นสนุกตลอดเวลา
ผ่านไปแค่ 16 นาทีโอกาสยิงลิเวอร์พูลก็เหนือกว่าในระดับ 5 ต่อ 0 และหนึ่งในนั้นคือประตูขึ้นนำ 1-0 จากการวางยาวฉับพลันของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ลากเข้าไปเปิดแบบสุดยอดให้ โกดี้ คักโป ชาร์จจ่อ ๆ ทางเสาสอง
ครึ่งแรกจบลงด้วยโอกาสทำประตูที่เหนือกว่ากันในระดับ 10 ต่อ 1
การนำอยู่เพียงประตูเดียวจากโอกาสมากมายและรูปเกมที่ข่มกันมิดในครึ่งแรกทำให้ยังต้องระวังให้มาก เราเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้วกับคำว่าฟุตบอลเป็นเกมของ 2 ครึ่งเวลา
เกมในครึ่งหลังเปิดมากขึ้นด้วยวิธีการเล่นของซิตี้ สถิติบอกว่าจากที่ได้สัมผัสบอลในเขตโทษของลิเวอร์พูลแค่ 5 ครั้งตลอด 45 นาทีแรก ผ่านไปเพียง 20 นาทีของครึ่งหลังพวกเขาได้บอลในเขตโทษหงส์แดงไปแล้ว 13 หน
เพียงแต่ในด้านประสิทธิภาพนั้นแทบไม่มีจังหวะไหนใกล้เคียงกับการได้ประตู
เป็นฝั่งลิเวอร์พูลเองต่างหากที่ยังคงสร้างสรรค์โอกาสยิงเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการต่อบอลเข้าทำ การเล่นโต้กลับ และการบีบแย่งบอลอย่างดุดันตั้งแต่แดนบน
โอกาสทองของ ซาลาห์ ที่หลุดเดี่ยว หรือประตูนำ 2-0 ในที่สุดจากลูกจุดโทษที่ หลุยส์ ดิอาซ ถูก ออร์เตก้า รวบล้มในเขต ล้วนมาจากการแย่งบอลได้ในแดนซิตี้ทั้งสิ้น
เป็นเกมที่อาจจะใช้คำว่ากองหลังกับกองกลางของซิตี้ "น่วม" จากการถูกบดขยี้จนผลัดกันก่อความผิดพลาดคนละครั้งสองครั้ง และเกือบทั้งหมดลิเวอร์พูลพาบอลทะลุไปถึงการได้โอกาสทำประตู
ลิเวอร์พูลชนะด้วยความรู้สึกที่เหมือนกับเกมอัด เรอัล มาดริด เมื่อกลางสัปดาห์ คือชนะอย่างปราศจากข้อกังขา ชนะแบบที่นักเตะทุกคนเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
มีความผิดพลาดส่วนบุคคลบ้างแต่ก็เป็นจำนวนน้อยนิดทั้งยังช่วยกันแก้ไขได้ การทำเสียจุดโทษของ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน เมื่อวันพุธและการเสียบอลของ ฟาน ไดค์ เมื่อคืนนี้ล้วนได้ ควีวิน เคลเลเฮอร์ ช่วยป้องกันความเสียหายให้ทั้งหมด
ลิเวอร์พูลจบเกมอย่างหนักแน่นและเต็มไปด้วยพลัง โอกาสทำประตูมากกว่าด้วยตัวเลข 18 ต่อ 8 (ยิงตรงกรอบ 7 ต่อ 2)
ค่า xG หรือค่าคำนวณประตูที่น่าจะได้ ทะลุเกือบ ๆ 4-1 (ลิเวอร์พูล 3.39 แมนฯ ซิตี้ 0.78)
คงไม่มีอะไรน่าพอใจไปกว่านี้อีกแล้ว.. 90 นาทีที่ได้เห็นจากแอนฟิลด์คือความสุขของเดอะค็อป
แน่นอนครับ ทุกคนรู้ดีว่าเส้นทางยังอีกยาวไกล แต่ขอดื่มด่ำความสุขที่อยู่ตรงหน้านี้ก่อน ก็มันเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของฤดูกาลได้เลยนี่นะ
ตังกุย