โจทย์สำคัญสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือพวกเขาจะเรียกความมั่นใจกลับมาได้ทันเวลาไหม..
บีบีซีให้นิยามซิตี้เวลานี้ว่า Fragile Manchester City หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่แตกร้าว
ไม่ใช่การแตกร้าวในห้องแต่งตัวหรือนักเตะทะเลาะกับโค้ชอะไรทำนองนั้น แต่เป็นการแตกร้าวด้านความเชื่อมั่นอย่างที่เราไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นมาก่อน
ซิตี้คือทีมใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักเตะที่มีแคแร็กเตอร์ของผู้ชนะ ไม่ยอมถอดใจง่าย ๆ ทีมที่เคยถูกพวกเขาโหมบุกใส่แบบบ้าเลือดเพื่อเอาประตูที่ต้องการให้ได้คงเข้าใจดี
หากนั่นไม่ใช่กับซิตี้ในตอนนี้ โดยเฉพาะ 6 เกมหลังสุดที่ผลการแข่งขันคือแพ้ 5 เกมรวดและถูกตีเสมอ 3-3 ทั้ง ๆ ที่ขึ้นนำ 3-0
Fragile Manchester City ของบีบีซีมีการอธิบายชัดด้วยความจริงที่เกิดขึ้น พวกเขารับมือกับความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นหลังเสียประตูไม่ได้.. ไม่ได้เลย
เกมแพ้ สปอร์ติ้ง ลิสบอน 1-4.. เสียประตูที่ 2 กับ 3 ในเวลาห่างกันแค่ 3 นาที
เกมแพ้ ไบรท์ตัน 1-2.. เสียประตูตีเสมอกับประตูถูกแซงนำในเวลาห่างกันเพียง 5 นาที
เกมแพ้ สเปอร์ส 0-4.. เสียประตูแรกกับประตูที่ 2 ในเวลาห่างกันแค่ 7 นาที
เกมเสมอ เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม แบบสุดช็อกคือภาพที่ชัดที่สุด ประตู 3-1, 3-2 และ 3-3 ของทีมเยือนได้มาในช่วงเวลา 15 นาทีสุดท้ายของเกม
จากที่เคยหนักแน่น มั่นคง ไม่ยี่หระกับความไม่เป็นใจที่อาจจะเกิดขึ้นบ้าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับสั่นคลอน หวั่นไหว ไม่มั่นใจ และถูกลงโทษ
ความแข็งแกร่งภายในของ ซิตี้ กำลังถูกเขย่าอย่างรุนแรง ด้วยสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เคยเป็นมาก่อน
-ไม่ชนะ 6 เกมติดต่อกันในทุกรายการ ในจำนวนนี้เป็นความพ่ายแพ้ 5 นัดติด
-เสีย 2 ประตูเป็นอย่างน้อยตลอด 6 เกมนั้น (ครั้งแรกในรอบ 61 ปี)
-แม้จะยังจำกัดโอกาสยิงประตูของคู่แข่งได้ดี แต่สิ่งที่เหลือเชื่อคือโอกาสเหล่านั้นเป็น Big chance หรือ "โอกาสทอง" มากจนน่าตกใจ
ฤดูกาลนี้ ซิตี้ มอบ "โอกาสทอง" ให้คู่แข่งไปแล้วถึง 37 ครั้งใน 12 เกมที่ผ่านมาหรือเฉลี่ย 3 ครั้งต่อเกม มีเพียง อิปสวิช ทาวน์ (49 ครั้ง) เซาธ์แฮมป์ตัน (44) เลสเตอร์ ซิตี้ (44) และ คริสตัล พาเลซ (38) เท่านั้นที่มากกว่า
-การมอบ "โอกาสทอง" ให้คู่แข่งของซิตี้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดหลังจาก โรดรี้ เจ็บพักยาวในเกมที่ 5 ของฤดูกาลที่พบกับอาร์เซน่อล (เสมอ 2-2 เมื่อ 22 ก.ย. 2024)
7 เกมหลังจากเสียโรดรี้ไปจากการบาดเจ็บ ซิตี้ปล่อยให้คู่แข่งมี "โอกาสทอง" 30 ครั้ง หรือ 4.3 ครั้งต่อเกม!
-อย่างไรก็ตาม การขาด โรดรี้ ไม่ได้เป็นคำตอบทั้งหมดของปัญหาที่ซิตี้กำลังเผชิญ เพราะมิดฟิลด์ทีมชาติสเปนเจ็บมาจากศึกยูโร 2024 ไม่ได้เล่นให้ทีมในเกมลีก 3 นัดแรก
โรดรี้ถูกส่งลงสนามในครึ่งหลังของเกมที่ 4 กับเบรนท์ฟอร์ด ก่อนจะเจ็บหนักต้องเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่ 20 นาทีแรกในเกมที่ 5 กับอาร์เซน่อล
นั่นหมายความว่า โรดรี้ลงเล่นให้ ซิตี้ ยังไม่เต็ม 90 นาทีด้วยซ้ำในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ มันจึงต้องเป็นปัจจัยประกอบอื่นอีกที่ทำให้แชมป์เก่า 4 สมัยติดยวบไปเองอย่างนี้
-กระนั้นการเสีย โรดรี้ ก็ยังถือเป็นปัญหาใหญ่ของซิตี้อยู่ในตัว เพราะการมีอยู่ของเขาเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถิติการหยุดเกมสวนกลับของคู่แข่ง
10 เกมหลังสุดที่ไม่มีโรดรี้ คู่แข่งของซิตี้ได้โอกาสทะลุขึ้นไปทำประตูจากการสวนกลับถึง 17 ครั้ง แตกต่างชัดเจนกับยามที่มีเขาอยู่ในสนาม.. 8 เกมหลังสุดที่ โรดรี้ ลงช่วยทีม คู่ต่อสู้ได้โต้กลับไปยิงเพียงหนเดียว
-เมื่อประกอบภาพเหล่านี้เข้าด้วยกันจึงเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไร ซิตี้ถึงมีปัญหากับการจัดการเกมโต้กลับของคู่แข่งในซีซั่นนี้
ถึงตอนนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เสียไปแล้ว 3 ประตูจากการถูกสวนกลับ น้อยกว่าเพียง ไบรท์ตัน กับ แอสตัน วิลล่า (4 ประตู) เท่านั้น
ที่สำคัญคือซิตี้มีค่า xAG หรือการคำนวนโอกาสที่จะเสียประตูจากการถูกสวนกลับใน 12 เกมที่ผ่านไปของซีซั่นนี้อยู่ที่ 4.1 ประตู มากกว่าซีซั่นที่แล้วทั้งฤดูกาล (3.6 ประตู) ไปเป็นที่เรียบร้อย
-และในเกมคืนนี้ พวกเขาต้องรับมือกับทีมที่เป็นหนึ่งในตัวพ่อของการสวนกลับอย่างลิเวอร์พูล ที่ในฤดูกาลนี้ไม่มีทีมไหนสร้างโอกาสยิงจากจังหวะเคาน์เตอร์แอทแท็กมากไปกว่าทีมหงส์แดงอีกแล้วในพรีเมียร์ลีก (20 ครั้ง)
-การขาดหายไปของโรดรี้ก็ส่วนหนึ่ง แต่การบาดเจ็บของ รูเบน ดิอาส ก็เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยปัญหาของซิตี้เช่นกัน
เกมล่าสุดที่ปราการหลังทีมชาติโปรตุเกสลงสนามก็คือเกมล่าสุดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชนะนับจนถึงตอนนี้ (เฉือน เซาธ์แฮมป์ตัน 1-0 ปลายเดือนตุลาคม) เพราะจากนั้นความพ่ายแพ้เป็นชุด ๆ ก็เข้ามาเยือนพร้อมกับการหายไปของเขา
ความนิ่ง ความเยือกเย็น และการบัญชาเกมรับที่มีประสิทธิภาพคือสิ่งที่ทีมสูญเสียไป เกมป้องกันของซิตี้ดูปั่นป่วนเมื่อไม่มีดิอาส
-สถิติบอกว่านับตั้งแต่ได้ตัว ดิอาส มาร่วมทีมเมื่อฤดูกาล 2020/21 ซิตี้มีผลการแข่งขันที่แตกต่างกันชัดเจนระหว่างเกมที่มีกับไม่มีเซนเตอร์แบ๊กคนนี้
ใน 126 เกมลีกที่มี ดิอาส ลงเล่น ซิตี้ชนะ 96 เกมหรือคิดเป็น 76.2 เปอร์เซนต์
แพ้แค่ 11 นัด คิดเป็น 8.73 เปอร์เซนต์
แต่ใน 36 เกมที่ไม่มี ดิอาส ลงสนาม ชัยชนะ 22 เกมของซิตี้คิดเป็นอัตราส่วนเพียง 61.11 เปอร์เซนต์เท่านั้น และยังแปรไปเป็นความพ่ายแพ้ไปถึง 8 เกมหรือ 22.22 เปอร์เซนต์
แต้มเฉลี่ยต่อเกมน้อยลง.. จาก 2.4 คะแนนเหลือ 2.0 คะแนน
เสียประตูต่อเกมมากขึ้น.. จาก 0.8 ประตูเป็น 1.1 ประตู
-เกมในคืนนี้ที่แอนฟิลด์โรดรี้หมดสิทธิ์ลงสนามแน่ ๆ ขณะที่ดิอาสน่าจะฟิตทันลงเล่นได้
มันคือเกมชี้ชะตาของพวกเขากลาย ๆ เหมือนกันแม้ฤดูกาลจะยังอีกยาวไกล เพราะแม้ซิตี้จะเคยแซงเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกจากการตามหลัง 8-10 คะแนนได้ถึง 6 ครั้ง แต่ไม่เคยมีฤดูกาลไหนเลยที่พวกเขาจะทำได้ถ้าถูกทิ้งเกิน 10 แต้ม
หากซิตี้แพ้ในคืนนี้ ช่องว่างจะห่างจาก 8.. เป็น 11
-ทิศทางของความเห็นล้วนชี้ไปทางลิเวอร์พูล ฟอร์มดีกว่า มั่นใจกว่า แถมเกมนี้ยังเตะกันที่แอนฟิลด์
ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกไม่มีคู่ไหนอีกแล้วที่ชัดเจนในเรื่อง "บ้านใครบ้านมัน" มากไปกว่าคู่ หงส์แดง-เรือใบสีฟ้า
54 เกมเหย้าเยือนที่หวดกันมาไม่ว่าจะที่แอนฟิลด์ เมนโร้ด หรือ ซิตี้ออฟแมนเชสเตอร์ สเตเดี้ยม (เอติฮัด สเตเดี้ยม) ทีมที่ไปเยือนเอาชนะได้แค่ 6 ครั้งเท่านั้น (นับเฉพาะคู่ที่ได้เตะกันเกิน 30 เกม)
เจอกันที่บ้านแมนฯ ซิตี้ แมนฯ ซิตี้ก็มักจะไม่แพ้
เจอกันในบ้านลิเวอร์พูล ลิเวอร์พูลก็มักจะไม่แพ้
หนล่าสุดที่ซิตี้บุกชนะลิเวอร์พูลได้ที่แอนฟิลด์เกิดขึ้นในฤดูกาลล็อกดาวน์ 2020/21 เรือใบถล่ม 4-1 ต่อหน้าอัฒจันทร์ว่างเปล่าแห่งแอนฟิลด์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021
เป็นชัยชนะครั้งเดียวในรอบ 21 เกมที่มาเยือนเครื่องจักรสีแดงแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์ (เสมอ 7 แพ้ 13)
ครั้งล่าสุดที่ซิตี้ชนะต่อหน้าเดอะค็อปในแอนฟิลด์เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2003 หรือ 21 ปีที่แล้ว
-ห้าทุ่มคืนนี้ เกมสำคัญของทั้ง 2 ทีม เดอะค็อปกับเหล่าซิติเซนส์คงไม่พลาดแน่ แต่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คล้ายจะหลังพิงฝามากกว่า เพราะหากแพ้อีกอาจหมายถึงการป้องกันแชมป์จบลงอย่างไม่เป็นทางการ..
ตังกุย