ลิเวอร์พูล พบ แมนซิตี้: 5 ประเด็นก่อนเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก

ลิเวอร์พูล พบ แมนซิตี้: 5 ประเด็นก่อนเกมบิ๊กแมตช์พรีเมียร์ลีก
สุดยอดเกมบิ๊กแมตช์วันอาทิตย์ที่ 1 ธ.ค.นี้ หลายคนมองว่าอาจเป็นเกมตัดสินชะตาแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เลย เพราะถ้า ลิเวอร์พูล ชนะ แมนซิตี้ นั่นหมายความว่าพวกเขาจะทำแต้มทิ้งห่าง "เรือใบสีฟ้า" ไปไกลสุดกู่ ดังนั้นแชมป์เก่าถ้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งต้องคว้าชัยชนะที่แอนฟิลด์ให้ได้ เพื่อกลับมาสู่เส้นทางของตัวเองอีกครั้ง

1. แนวรับต้องปรับ

 แฟนบอล "หงส์แดง" ใจหายทันทีหลังได้เห็น อิบราฮิม่า โกนาเต้ นั่งลงในสนามและทีมแพทย์เข้ามาปฐมพยาบาลเบื้องต้นเนื่องจากมีปัญหาบาดเจ็บเข่าเกมที่ชนะ เรอัล มาดริด ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ ลีก เฟส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

 สำหรับตอนนี้มีการยืนยันชัดเจนว่า โกนาเต้ หมดสิทธิ์ลงสนามในเกมรับมือ แมนซิตี้ ช่วงสุดสัปดาห์นี้ และที่น่าเป็นห่วงก็คือ ดาวเตะชาวฝรั่งเศส อาจต้องเข้ารับการฟื้นฟูร่างกายนานถึง 5-6 สัปดาห์เลยทีเดียว ฉะนั้นกว่าจะกลับมาได้คงต้องรอถึงช่วงต้นเดือนมกราคมปี 2025

 ดังนั้นนี่เป็นปัญหาที่ อาร์เน่อ สล็อต ต้องแก้ไข และมีความเป็นไปได้สูงที่ โจ โกเมซ จะได้ลงไปทำหน้าที่สำคัญคู่กับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ซึ่งเชื่อว่าสาวก "เดอะ ค็อป" คงหวั่นใจพอสมควร เพราะนักเตะไม่ค่อยได้ลงสนาม และจะสามารถรับมือกับแนวรุกที่ดุดันของ "เรือใบสีฟ้า" ได้หรือไม่

 ขณะเดียวกันในกรณีของ คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ ซึ่งฟอร์มโดดเด่นเหลือเกินในเกมชนะ เรอัล มาดริด ก็มีปัญหาบาดเจ็บ แต่คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เนื่องจาก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมาฟิตสมบูรณ์แล้ว และคงกลับมาเล่นตัวจริงในเกมนี้ 

2. โม ซาลาห์ ชอบยิง แมนซิตี้

 โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถือเป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญที่ ลิเวอร์พูล ขาดไม่ได้เลย แม้เกมล่าสุดจะซัดจุดโทษไม่เข้าก็ตาม แต่เขายังคงเป็นผู้เล่นที่ โค้ชอาร์เน่อ ต้องการอย่างมากในเกมบิ๊กแมตช์รับมือแชมป์เก่า เพราะประสบการณ์ของ "บังโม" ถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก

 สตาร์ชาวอียิปต์ วัย 32 ปี ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นชั้นยอดเอาไว้ได้เสมอ แม้อายุจะมากขึ้น ความเร็ว และความแข็งแกร่งลดลง แต่ประสบการณ์โชกโชนซึ่งสิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมากในการสู้กับทีมที่แข็งแกร่งอย่าง แมนซิตี้ โดยนักเตะได้แสดงให้เห็นมาแล้วในแมตช์ปราบ "ราชันชุดขาว"

 "บังโม" ซัดไปแล้ว 12 ประตูจาก 19 เกมในทุกรายการซีซั่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นนักเตะมีสถิติที่โดดเด่นเหลือเกินในการพบกับ "เรือใบสีฟ้า" เมื่อตะบันไป 11 ประตูกับ 6 แอสซิสต์จากการพบกัน 21 แมตช์ โดยมีแค่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้นที่เขามีส่วนร่วมในการทำประตูมากกว่า 

 ดังนั้นด้วยผลงานระดับมาสเตอร์พีซขนาดนี้ บอร์ดบริหารลิเวอร์พูล คงต้องขบคิดให้ดีเรื่องการขยายสัญญาฉบับใหม่ เพราะด้วยศักยภาพและประสบการณ์ของ "คิง ออฟ อียิปต์" มันคุ้มค่ามหาศาลที่จะเก็บเขาเอาไว้กับทีมต่อไป 

3. จังหวะสวนกลับอันตราย, แบ็กซ้ายมีปัญหา

 หนึ่งในสิ่งที่เป็นอาวุธเด็ดของ ลิเวอร์พูล นั่นก็คือการเล่นจังหวะสวนกลับ เพราะพวกเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ยุคเจอร์เก้น คล็อปป์ จนมาถึงยุคโค้ชอาร์เน่อ และนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ เป๊ป ต้องกระตุ้นลูกทีมห้ามเสียบอลในจังหวะขึ้นเกมรุกเด็ดขาดไม่งั้นมีสิทธิ์น้ำตาร่วงได้

 จากสถิตในฤดูกาล 2024/2025 ทัพ "หงส์แดง" เป็นสโมสรที่เล่นเกมสวนกลับได้อันตรายเป็นอันดับ 2 โดยสามารถทำได้ถึง 5 ประตู เป็นรองเพียงแค่ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ทำได้ 9 ลูกจากจังหวะดังกล่าว

 กระนั้น ลิเวอร์พูล ก็มีพื้นที่ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วงเช่นกันนั่นก็คือแบ็กซ้าย เพราะ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ฟอร์มค่อนข้างดร็อปลงไปพอสมควร แถมยังทำเสีย 2 จุดโทษจาก 2 เกมล่าสุด ฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่ บอสอาร์เน่อ ต้องรีบปรับแก้เป็นการด่วน เนื่องจากการที่ "ร็อบโบ้" ต้องดวลกับ ซาวินโญ่ ที่ทั้งปราดเปรียวและคล่องแคล่วมีสิทธิ์ที่อาจจะเสียท่าหรือเสียจุดโทษได้ถ้าขาดสมาธิ

 อย่างไรก็ตามในเรื่องเกมรับ "เดอะ เร้ดส์" ยุคกุนซือหัวใสค่อนข้างเหนียวแน่น โดยเสียแค่ 8 ประตูในลีก ดังนั้นกองหลังอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเกมนี้ ซึ่งถ้าเจ้าบ้านรักษามาตรฐานการเล่นที่เหนียวแน่น และใช้จังหวะสวนกลับที่โดดเด่นเล่นงานทีมเยือน งานนี้มีโอกาสที่จะได้เห็นอะไรเด็ดๆ ก็ได้  

4. เป๊ป ต้องปรับเกมรับด่วน

 ผลงานของ แมนซิตี้ ในช่วง 6 เกมที่ผ่านมาถือว่าผิดฟอร์มอย่างยิ่งของทีมในยุคที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุมบังเหียน โดยเฉพาะเกมรับที่เปราะบางเหลือเกิน และนั่นทำให้พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างที่เห็นในเวลานี้

 แน่นอนว่าการขาด โรดรี้ กองกลางทีมชาติสเปน ซึ่งคว้าบัลลงดอร์ประจำปี 2024 ทำให้ทีมขาดสมดุลอย่างมาก แต่กระนั้นจุดที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือเกมรับ เนื่องจากทีมเสียประตูง่ายมาก โดยเฉพาะในเกมเสมอ เฟเนยูร์ด 3-3 ใครจะไปคิดว่า "เรือใบสีฟ้า" นำห่าง 3-0 ในเอติฮัด สเตเดี้ยม แต่ครึ่งหลังโดนยิงคืนสามประตูรวด 

 นับตั้งแต่ที่ เป๊ป คุม แมนซิตี้ (หรือตลอดอาชีพโค้ช) มีใครเคยเห็นเขาไร้ชัยชนะ 6 เกมติดต่อกันในทุกรายการไหม ? ไม่มีแน่นอน ลองคิดดูพวกเขาแพ้ 5 เกมติดต่อกัน และเพิ่งเสมอแบบน่าเจ็บใจในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่สำคัญยังเสียสองประตูหรือมากกว่าตลอด 6 แมตช์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 1963 

  ปัญหากองหลังของ แมนซิตี้ ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะพวกเขาเก็บคลีนชีตไม่ได้เลยนับตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม และเสียไปถึง 17 ประตูนับตั้งแต่นั้น แต่ที่ย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นก็คือการยิงได้แค่ประตูเดียวในการเล่นเกมเยือน 4 แมตช์ที่ผ่านมา

 นอกจากนี้ กวาร์ดิโอล่า มีความทรงจำไม่ค่อยดีนักจากการไปเยือน แอนฟิลด์ ในช่วงที่ผ่านมา โดยชนะแค่เกมเดียวจาก 9 แมตช์ แถมแพ้ไปถึง 5 และเสมอ 3 เกมเท่านั้น ฉะนั้นด้วยแนวรับที่เปราะบางกอปรกับแนวรุกฝืดการไปพบ ลิเวอร์พูล ในบ้านย่อมอันตรายอย่างมาก 

5. โอกาสคว้าแชมป์ลีกเพิ่มขึ้น

 ฟอร์มของ ลิเวอร์พูล ในยุคโค้ชอาร์เน่อ ต้องบอกว่าเซอร์ไพรส์อย่างมาก เพราะไม่มีใครคิดว่าเขาจะสามารถนำทีมโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด หลังได้รับการแต่งตั้งให้เข้ามาทำงานแทน เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่อำลาสโมสรในช่วงซัมเมอร์นี้

 ชัยชนะ 17 จาก 19 เกมในทุกรายการ โดยเสมอ 1 และแพ้ 1 แมตช์เท่านั้น ถือว่าเกินคาดสำหรับกุนซือใหม่ที่ต้องมารับไม้ต่อจากยอดผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถนำ "หงส์แดง" เป็นจ่าฝูงทั้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

 สำหรับแมตช์รับมือ แมนซิตี้ ต้องบอกว่ามีความสำคัญในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แม้มันจะไม่ใช่เกมตัดสินแชมป์ลีก เนื่องจากหนทางยังอีกยาวไกล แต่ถ้าหากเก็บสามแต้มได้ นั่นหมายความว่า ลิเวอร์พูล จะทิ้งห่างแชมป์เก่าไปไกลถึง 11 แต้มเลยทีเดียว

 หากย้อนไปดูสถิติการนำขนาดนี้หลังผ่านไป 13 เกม มีเพียงแค่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 1993/1994 ทีมเดียวเท่านั้นที่ทำได้และจบด้วยการคว้าแชมป์ลีก ดังนั้นนี่อาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์ให้กับ "หงส์แดง" 

 กระนั้นโปรดอย่างลืมว่าฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เหมือนในกรณีของ อาร์เซน่อล ในซีซั่น 2022/2023 และ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด  ฤดูกาล 1995/1996 ด้วยเหตุนี้ บอสชาวดัตช์ จึงได้เตือนสติลูกทีมอยู่เสมอให้มีสมาธิกับเกม อย่าเพิ่งคิดไกลเกินไป

      ทอมเม้ง


ที่มาของภาพ : gettyimages
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport