ความละเอียด อาร์เน่อ พา ลิเวอร์พูล เก็บชัยก่อนเจอ2เกมใหญ่

ความละเอียด อาร์เน่อ พา ลิเวอร์พูล เก็บชัยก่อนเจอ2เกมใหญ่
ลิเวอร์พูล สอบผ่านอีกครั้งกับโจทย์ที่ไม่ง่าย

ลิเวอร์พูล เยือน เซาธ์แฮมป์ตัน คู่ต่อสู้อาจจะดูเหมือนง่าย แต่ก็นั่นล่ะครับ ไม่มีอะไรที่ง่ายไปเสียทุกเรื่องหรอก

สถิติก่อนเตะกันที่เซนต์ แมรี่ส์ เมื่อคืนวันอาทิตย์นั้นตรงข้ามกันสุดขั้ว ลิเวอร์พูล คือจ่าฝูงเตะ 11 นัด ชนะ 9 เสมอ 1 แพ้ 1 ขณะที่เซาธ์แฮมป์ตันรั้งอันดับสุดท้ายของตาราง เตะ 11 นัดเหมือนกัน ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 9

ไม่น่ามีปัญหาอะไรใช่ไหมกับการคว้า 3 คะแนน.. ยิ่ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พลาดท่าแพ้ สเปอร์ส ไปตั้งแต่วันเสาร์ด้วยก็ยิ่งน่าจะเพิ่มความฮึกเหิม โอกาสฉีกหนีเรือใบสีฟ้าออกไปอีกมาถึงแล้ว

กระนั้นมันก็ไม่ใช่วันที่ง่ายอยู่ดี เซาธ์แฮมป์ตัน เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ วางกำลังในเกมรับไว้แน่น เล่นอย่างอดทน และอาศัยจังหวะสวนกลับตอบโต้

ด้วยคุณภาพในภาพรวมเป็นรองอยู่แล้ว ทีมนักบุญจึงต้องสู้อย่างระวังที่สุด ช่วยกันเล่น ช่วยกันขยับตัวปิดพื้นที่ รักษาสมาธิ พยายามปิดช่องว่างไม่ให้ลิเวอร์พูลมีช่องเจาะเข้าทำ และโต้กลับเล่นงานเมื่อมีจังหวะ

เจ้าถิ่นทำได้ดี วิ่งกันเยอะ ใช้พลังกันไปมาก และมีผลต่อความโรยราในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกมที่สุดท้ายก็ยันการโหมบุกของอาคันตุกะไม่อยู่

เซาธ์แฮมป์ตันแพ้ไปแบบน่าชื่นชมในการต่อสู้และกัดฟันสู้ ส่วนลิเวอร์พูลชนะแบบหืดขึ้นคอแต่เดินหน้าต่อด้วยระยะห่างจากผู้ตามที่มากกว่าเดิม

จาก 5 แต้ม เป็น 8 แต้ม เข้าสู่เกมใหญ่ที่สุดที่รออยู่ในวันอาทิตย์หน้าด้วยสถานการณ์ที่ดี

---------------

เกมเยือนเซนต์ แมรี่ส์ อาร์เน่อ ชล็อต ทำให้เห็นอีกครั้งถึงความละเอียดตั้งแต่การจัดตัวผู้เล่น

นักเตะที่เดินทางกลับมาจากเกมทีมชาติฝั่งอเมริกาใต้ มาไกลกว่าคนอื่น ถึงช้ากว่าคนอื่น ได้พักน้อยกว่าคนอื่น ถูกจับนั่งข้างสนามทั้ง หลุยส์ ดิอาซ แห่งโคลอมเบีย และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ จากอาร์เจนติน่า มีเพียง ดาร์วิน นูนเญซ ของอุรุกวัยคนเดียวที่ได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริง

อาจเป็นการเรียนรู้ร่วมกันส่วนหนึ่ง ประกอบไปกับเหตุผลปัจจัยอื่น ๆ

ก่อนเตะเกมนี้ ลิเวอร์พูล ลงเล่นเกมลีกหลังโปรแกรมทีมชาติมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกคือเดือนกันยายน แพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ คาถิ่น ครั้งที่สองคือเดือนตุลาคม ชนะ เชลซี ที่แอนฟิลด์

ในครั้งแรกทั้ง ดิอาซ และ แม็ค อัลลิสเตอร์ บินข้ามทวีปกลับมาแล้วก็ลงเล่นเป็นตัวจริงให้ลิเวอร์พูลต่อทันทีในเกมเจอ ฟอเรสต์ ขณะที่ดาร์วินติดโทษแบนไม่ต้องเดินทางไปเล่นให้อุรุกวัยมีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง

ผลไม่น่าประทับใจนักทั้ง ดิอาซ และ แม็คก้า สร้างอิทธิพลต่อเกมไม่ได้ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่หนึ่งชั่วโมงของเกมทั้งคู่ ลงเอยด้วยการจบเห่แพ้เจ้าป่าต่อหน้าเดอะค็อป

มาครั้งที่สอง ชล็อต ก็ปรับแล้ว เกมเฉือนชนะเชลซี ทั้ง ดิอาซ ดาร์วิน และ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ไปเตะคัดบอลโลกโซนอเมริกาใต้กลับมาถูกจับนั่งสำรองเรียบวุธ

ดาร์วินถูกส่งลงสนามตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกมเพราะ ดีโอโก้ โชต้า เจ็บ ดิอาซลงเล่นนาทีที่ 66 ส่วนแม็ค อัลลิสเตอร์ ลงสนามช่วง 10 นาทีสุดท้าย

ผมตั้งข้อสังเกตว่า ชล็อต น่าจะปรับรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ และเมื่อดูจากการจัดตัวในเกมล่าสุด มันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ด้วยข้อจำกัดเรื่องกองหน้า ดาร์วิน อาจจะมีชื่อเป็นตัวจริงในเกมเยือนเซาธ์แฮมป์ตัน แต่เพื่อนร่วมทวีปทั้ง ดิอาซ และ แม็ค อัลลิสเตอร์ เริ่มเกมด้วยการเป็นตัวสำรองทั้งคู่

แน่นอนครับขุมกำลังที่ใหญ่พอมีคนสามารถเล่นทดแทนกันได้เป็นเหตุผลสำคัญ โกดี้ คักโป สามารถเล่นในตำแหน่งของดิอาซได้ เคอร์ติส โจนส์ ก็สามารถเล่นในตำแหน่งของแม็ค อัลลิสเตอร์ได้

รายของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ยังน่าจะมีเหตุผลซ่อนเร้นมากไปกว่านั้นอีกคือกองกลางทีมชาติอาร์เจนติน่ามีใบเหลืองติดตัวสะสมมา 4 ใบแล้ว ถ้าได้รับเพิ่มอีกใบก่อนเกมที่ 19 ของฤดูกาลเขาจะติดโทษแบน 1 นัดทันทีตามกฎของพรีเมียร์ลีก

เกมต่อไปคือเกมสำคัญกับ แมนซิตี้ ชล็อตต้องการนักเตะที่พร้อมให้เขาเลือกใช้มากที่สุด การลงเล่นตั้งแต่ต้นเกมในครั้งนี้จึงอาจเป็นความเสี่ยงสำหรับรายของแม็คก้า ไม่รวมถึงความเหนื่อยล้าจากการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกลับมาสโมสร

ขุมกำลังของ ลิเวอร์พูล ยังขับเคลื่อนได้ดี โจนส์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก และ โดมินิก โซโบซไล ในแดนกลาง คักโป , นูนเญซ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในแดนหน้า ควบคุมเกมและครองบอลบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถส่งบอลเข้าไปสู่ก้นตาข่ายได้

เกมรับเจอทดสอบอยู่เหมือนกันจากการโต้กลับของเจ้าถิ่น ฟูลแบ๊กทั้ง 2 ฝั่งในเกมนี้ไม่โดดเด่นเท่าไหร่ทั้ง แอนดี้ โรเบิร์ตสัน และ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ที่ได้โอกาสลงสนามแทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เจ็บ ปกติแล้วทั้งคู่จะมีเกมที่ดุดันกว่านี้

การบีบกดดันแดนบนของ ลิเวอร์พูล ยังทำได้ดี สร้างปัญหาให้การขึ้นเกมของเซาธ์แฮมป์ตันไม่น้อย ประตูขึ้นนำ 1-0 จาก โซโบซไล ก็มาจากการกดดันถึงในเขตโทษจน อเล็กซ์ แม็คคาร์ธี่ นายทวารนักบุญออกบอลลังเลเป็นที่มาของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ผิดพลาดของ ฟลินน์ ดาวน์ส เตะบอลไปเข้าเท้ากองกลางฮังกาเรียนยิงสวนเข้าไป

แต่ในเกมฟุตบอลไม่มีชนะคะแนน มีแต่ชนะน็อก แพ้น็อก หรือไม่ก็เสมอกัน เมื่อลิเวอร์พูลผิดพลาดบ้างก็เป็น เซาธ์แฮมป์ตัน ลงโทษได้อย่างถนัดถนี่ ประตูตีเสมอ 1-1 ท้ายครึ่งแรกจากการเสียบอลแถวกลางสนาม ขณะที่ประตูแซงนำ 2-1 หลังผ่านครึ่งหลังไป 11 นาทีก็มาจากการเล่นโต้กลับหลังแย่งบอลได้

จากเกมที่ดีกว่า เหนือกว่า สร้างโอกาสได้มากกว่า และมีประตูขึ้นนำ เผลอแค่พริบตา ลิเวอร์พูลกลับเป็นฝ่ายตามหลังเสียแล้ว ที่ยิ่งน่าสนใจไปกว่านั้นก็คือครั้งนี้ไม่มีช่วงพักครึ่งให้ ชล็อต ได้แก้เกมทำความเข้าใจกับลูกทีม ทั้งหมดต้องจัดการกันหน้างาน

ดิอาซ กับ แม็ค อัลลิสเตอร์ ถูกส่งลงสนามทันทีหลังเสียประตูที่สองไม่นาน คนที่ถูกถอดออกคือ คักโป กับ โจนส์

มันเป็นการเปลี่ยนตัวตามตำแหน่งเพราะด้วยรูปเกมไม่มีปัญหาอะไร ยังครองเกมได้ ยังครองบอลได้ เพียงแต่เพิ่มความสดและความดุดันลงไป

การเปลี่ยนตัวของ ชล็อต ทำได้ละเอียดและมีเป้าหมายเสมอ ลองเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนตัวในเกมแซงชนะ ไบรท์ตัน ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนดูก็จะเห็นชัดในเรื่องนี้

ในเกมนั้นถึงนาที 66 แล้วทีมยังตามหลัง 0-1 และรูปเกมไม่ได้ขี่กันแบบพับสนามบุก ชล็อต เปลี่ยนตัวแบบกล้าได้กล้าเสียถอด แม็ค อัลลิสเตอร์ กับ โซโบซไล ออกแล้วส่ง โจนส์ กับ ดิอาซ ลงไป

เป็นการเปลี่ยนกองกลางออก 2 คนแล้วส่งกองกลางกับกองหน้าลงไปตำแหน่งละคน พร้อมปรับแท็คติกจาก 4-2-3-1 เป็น 4-2-4 ยัด ดิอาซ ยืนกองหน้าคู่กับ ดาร์วิน ผลออกมาคือการยิง 2 ประตูใน 2 นาทีแซงนำ 2-1 โดย โจนส์ เป็นคนทำแอสซิสต์ให้ ซาลาห์ ยิงประตูที่สอง

หลังยิงแซง 2-1 (นาทีที่ 72) แค่ห้านาที วาตารุ เอนโด ก็ถูกส่งลงไปแทน ดาร์วิน ชล็อต ปรับระบบคืนมาเป็น 4-2-3-1 อีกครั้งเพื่อความสมดุลก่อนจะปิดเกมเก็บสามคะแนนได้สำเร็จ

ทั้ง 2 เกมนี้ทีมต้องการยิง 2 ประตูเพื่อแซงกลับมาชนะเหมือนกัน เป็นสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจหลังครึ่งหลังเล่นไปแล้วเหมือนกัน แต่ใช้วิธีการไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับรูปเกมและสถานการณ์ของเกม ณ เวลานั้น

กับไบรท์ตัน เกมไม่ดี ต้องเสี่ยงปรับแท็คติก ลดกองกลาง เพิ่มกองหน้า

กับเซาธ์แฮมป์ตัน เกมไม่มีปัญหา ยังคุมได้ ครองบอลได้ สร้างโอกาสได้ เขาก็แค่เพิ่มความสดลงไป เติมความดุลงไป เร่งเกมให้เร็วขึ้น โหมใส่ด้วยจังหวะลุยไม่ยั้งในช่วงที่พละกำลังของฝ่ายตรงข้ามเริ่มโรยรา

การชั่งน้ำหนักความสมดุลเป็นเรื่องสำคัญ ผมคิดว่า ชล็อต บริหารตรงนี้ได้ดี เวลาไหนควรเปลี่ยน เวลาไหนควรปรับ เขาทำได้ค่อนข้างจะถูกต้องในแต่ละสถานการณ์ ไม่ลนลานรีบร้อนเอาแต่จะส่งกองหน้าลงไปเพื่อทำประตู

เพราะการเปลี่ยนตัวเพื่อทำประตูไม่จำเป็นต้องส่งกองหน้าลงไปสถานเดียว การรักษาโมเมนตัมของเกมเอาไว้รวมทั้งเวลาที่เหลืออยู่เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน

แล้ว ลิเวอร์พูล ก็ลงโทษเซาธ์แฮมป์ตันได้จริง ๆ ด้วยกำลังที่เหนือกว่า นักเตะหงส์ฟิตพอที่จะเล่นในจังหวะเร่งเร้าได้ในช่วงชี้เป็นชี้ตาย 10 นาทีสุดท้าย 15 นาทีสุดท้าย บอลไดเร็กต์ยังคงเป็นอาวุธที่ได้ผลเสมอ ประตู 2-2 ที่ กราเฟนแบร์ก วางบอลทีเผลอให้ ซาลาห์ วิ่งไปจิ้มผ่าน อเล็กซ์ แม็คคาร์ธี่ย์ ก็เป็นอย่างนั้น

25 นาทีสุดท้ายหลังได้ประตูตีเสมอ 2-2 คือความสนุกตื่นเต้น เรี่ยวแรงของเซาธ์แฮมป์ตันหายไปมากแล้วถูกกดให้ต้องรับฝ่ายเดียว สุดท้ายทำนบก็พังอีกหนจากการทำแฮนด์บอลของ ยูกินาริ ซึกาวาระ ที่บอลเจ้ากรรมรูดไปตามการพักอกไล่ตามแขนไปถึงมือ ด้วยท่าทางที่กางแขนออกแถมยังสะบัดมือตบบอลปิดท้าย

มันก็รอดยากที่จะไม่เสียจุดโทษ และซาลาห์ก็เป็นคนสังหารเข้าไป เป็นประตูชัยให้ทีมแซงชนะ 3-2 มันเกิดขึ้นก่อนหมดเวลาแค่ 7 นาที

ลิเวอร์พูล พุ่งไปข้างหน้าต่ออย่างไม่หยุดยั้ง หลังแพ้ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในเกมที่ 4 ของฤดูกาล ชล็อต พาทีมชนะ 8 นัดรวด คั่นด้วยเสมออาร์เซน่อลที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม แล้วต่อด้วยการชนะอีก 5 นัดรวดรวมเกมนี้

เท่ากับว่านับตั้งแต่แพ้ฟอเรสต์เมื่อกลางเดือนกันยายน ลิเวอร์พูลลงเตะไปแล้ว 14 เกมในทุกรายการ ผลชนะ 13 เสมอ 1..

รวมเตะ 18 เกมทุกรายการซีซั่นนี้ ชนะ 16 เสมอ 1 แพ้ 1

12 เกมในพรีเมียร์ลีก ชนะ 10 เสมอ 1 แพ้ 1 ทิ้งห่าง แมนซิตี้ อันดับสอง 8 คะแนน

ลิเวอร์พูล ก้าวเข้าสู่เกมใหญ่ในสัปดาห์นี้ทั้ง เรอัล มาดริด วันพุธ และทีมเรือใบสีฟ้าวันอาทิตย์ด้วยกำลังใจที่ดี ความเชื่อและความมั่นใจกำลังปกคลุมไปทั่วแอนฟิลด์จริง ๆ


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport