ข้อคิดจากการวิเคราะห์ระบบ 3-4-3 ของ แมนยูไนเต็ด จากการทำงานของ รูเบน อโมริม ในรายการ 'หวดกะบู๋' เมื่อวาน (ผู้ร่วมรายการประกอบด้วย ซัมเมอร์ฮิล, ดร.พิว และโบ๊ต โยอันน์)
1. กุนซือแมนยูคนใหม่ยึดมั่นในปรัชญาของตัวเองมากก็จริง แต่สามารถยืดหยุ่นได้เช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และทรัพยากรนักเตะที่มีอยู่ในปัจจุบัน
บางทีอาจใช้ระบบเดิมของ แมนยูไนเต็ด และไม่ปรับเป็น 3-4-3 ก็...เป็น...ได้
2. สมมุติว่ายึดสูตร 3-4-3 ปราการหลัง 3 คน จอมเลาะหน่อไม้อย่าง 'ซัมเมอร์ฮิล' มองว่าตำแหน่งนี้ต้องขึ้นเกมได้ด้วย
ดังฉะนั้น นุสแซร์ มัซราวี มีสิทธิ์ถูกจับมาเป็น เซ็นเตอร์แบ็คทางด้านขวา เพราะจ่ายบอลดี และสามารถถ่างออกไปเป็นแบ็คขวาได้ด้วย
เช่นเดียวกับ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ที่ออกบอลแม่นยำ แถมถ่างไปทางซ้าย เพราะถนัดซ้ายธรรมชาติอยู่แล้ว
ส่วนตรงกลางคือ มาต์ไตส์ เดอ ลิกต์
3. ตำแหน่ง 'วิง-แบ็ค' ทั้ง 2 ข้าง อันเป็นหัวใจสำคัญของระบบนี้ต้องมีความรอบจัดทั้งรุกและรับ แถมต้องมีพละกำลัง
ที่สำคัญคือทางขวาต้องถนัดเท้าขวา ทางซ้ายต้องถนัดเท้าซ้าย เพื่อครอสส์บอลอย่างเป็นธรรมบาติ
ทางขวา ดิโอโก้ ดาโลต์ สวมบทนี้ได้ แต่คงไม่ค่อยมีคุณภาพสักเท่าไหร่
ขณะทางซ้าย ลุค ชอว์ มีความเหมาะสม และเล่นในตำแหน่งนี้ได้สบายๆ อยู่แล้ว ปัญหาคือจะหายเจ็บกลับมาเล่นได้ตอนไหน และเล่นได้สักกี่นัด ก่อนจะเจ็บอีก 5555
สรุปว่าอาจต้องหาตัวใหม่ทั้ง 2 ข้าง
4.ระบบ 3-4-3 ของ 'โค้ชเจ๋ง' ไม่มีตำแหน่งหมายเลข 10 นะครับ
ฉะนั้น บรูโน่ แฟร์นันด์ส น่าจะถูกขยับออกไปเล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่เยื้องออกไปทางขวา หรือซ้าย ขณะที่อีกคนอาจเป็นโอกาสดีของ เมสัน เมาต์ ที่เคยสวมบทบาทนี้ตอนเป็นลูกทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ที่ เชลซี ตอนคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อ 2021
เช่นเดียวกับ โจชัว เชิร์คซี่ ที่อาจเหมาะกับตำแหน่งนี้ในระบบนี้มากกว่า...ก็..เป็น..ได้
สำหรับ มาร์คัส แรชฟอร์ด อาจไม่มีที่ว่างให้ลง นอกจากปรับไปเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า
ส่วนมิดฟิลด์ตัวกลาง 2 ตัว ผู้ร่วมรายการทั้ง 3 คน มองว่า มานูเอล อูการ์เต้ กับ กาเซมิโร่ น่าจะเหมาะสมมากที่สุด โดยมี ค๊อบบี้ เมนู มาเป็นตัวสลับ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ณ ขณะนั้น
5. ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2016/17
อันโตนิโอ คอนเต้ เคยปรับระบบการเล่นของ เชลซี ในระหว่างซีซั่นนั้นจาก 4-3-3 มาเป็น 3-4-3 โดยใช้ วิคเตอร์ โมเซส กับ มาร์กอส อลอนโซ่ เป็น 'วิง-แบ็ค' ด้านขวาและซ้าย ก่อนที่ 'สิงห์บลูส์' จะชนะแบบรัวๆ 13 เกมติดต่อกัน แล้วพุ่งทะยานเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 แบบม้วนเดียวจบ
ทว่าข้อแตกต่างกันคือ เชลซี ชุดนั้นมีขุมกำลังทีมีคุณภาพคับตูดอยู่แล้ว นักเตะรอบจัดสามารถเล่นในระบบใหม่ได้แบบไม่ระบมหัวแม่ตีนอยู่แล้ว
ผิดกับขุมกำลังของปีศาจแดงที่ เอริค เทน ฮาก ทิ้งเอาไว้ให้กุนซือคนใหม่วัย 39 กะรัต
ว่าแล้วอย่าเพิ่งไปตั้งความหวังอะไรมาก อีก 28 นัดที่เหลือในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไม่ต่างจาก 'พรีซีซั่น' ที่ต้องลองผิดลองถูกพลางปรับจูนไว้สำหรับฤดูกาลหน้าที่จะเป็นบทพิสูจน์ของ รูเบน อโมริม จริงๆ นะจ๊ะ