3-4-3 และ รูเบน อโมริม ในมุมมองของผม
1 ก่อนอื่นขอแจ้งให้ทราบว่า รูเบน อโมริม จะยังไม่เดินทางมารับงานที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ก่อนช่วงเบรคทีมชาติในเดือนพฤศจิกายน 2024 นะครับ
นั่นหมายความว่า รุด ฟาน นิสเตลรอย จะได้คุมทีม แมนยู ไปอีก 3 นัด ที่พบกับ เชลซี, พีเอโอเค (ยูโรปา ลีก) และ เลสเตอร์ ก่อนที่กุนซือชาวขนมฝอยทองจะมาคุมนัดแรกในการศึกกับ อิปสวิช วันที่ 24 พย.นี้
2. ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ผมพยายามศึกษาวิธีการเล่นของ สปอร์ติ้ง ลิสบอน จากการทำงานของกุนซือวัย 39 กะรัตผู้นี้ในหลายๆ ช่องทาง
อันดับแรกคือพี่แกนิยมใช้ระบบ 3-4-3 ซึ่งเป็นสูตรที่เน้นเกมรุกมากกว่าเกมรับ แม้จะใช้เซ็นเตอร์แบ็ค 3 ตัวก็ตาม
ถามว่าสูตร 'หลังสาม' แบบนี้ เหมาะกับ แมนยูไนเต็ด หรือไม่ ???
ในอดีตมีกุนซือหลายคนเคยเอาระบบ 'หลังสาม' มาใช้กับปีศาจแดง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เคย โชเซ่ มูรินโญ่ ก็เคย โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็เคย แต่เป็นการปรับใช้ตามสถานการณ์ซะมากกว่า
ไม่ได้ยึดเป็นระบบประจำ ยกเว้น หลุยส์ ฟาน กัล ที่เคยพยายามปรับมาเล่น 3-5-2 (3-4-1-2) แบบตายตัว แต่สุดท้ายมันไม่เวิร์ค และไม่เข้ากับทีมจนต้องเปลี่ยน
3. ในเมื่อมันเป็นสไตล์ที่นำพามาซึ่งความสำเร็จ จึงคาดว่า 'โค้ชเจ๋ง' น่าจะเอา 3-4-3 มาใช้กับ แมนยูไนเต็ด ด้วย
แล้วมันจะเหมาะกับทีมอสูรสามง่ามหรือเปล่า ???
หากดูจากทรัพยากรนักเตะ ณ ปัจจุบัน เราจะพบว่ามีเซ็นเตอร์แบ็คเพียบเลย
แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ก็ยังอยู่ รวมถึง จอนนี่ อีแวนส์
แล้วไหนจะปราการหลังดาวรุ่งที่เพิ่งคว้ามาอย่าง เลนี่ โยโร่
บางทีการปรับมาเล่น 'หลังสาม' มันคือการหาทางให้เซ็นเตอร์ฯ ที่ออกบอลได้ดีอย่าง เลนี่ โยโร่, มาต์ไตส์ เดอ ลิกต์ และ ลิซานโดร มาร์ติเนซ ได้ลงเล่นพร้อมกัน
ถ้าผู้เป็นกุนซือจะปรับมาเล่นจริงๆ ก็น่าจะได้แหละ เพียงแต่มันดันมีอะไรมากกว่านั้น
วิง-แบ็ค 2 ข้างสำคัญมากสำหรับสูตรนี้ เพราะต้องทำหน้าที่ทั้งในเกมรุกและเกมรับ แถมใช้พลังงานมหาศาล
ฟูลแบ็คของ แมนยูไนเต็ด และนาทีนี้มี ดิโอโก้ ดาโลต์, นุสแซร์ มัซราวี ขณะที่ ลุค ชอว์ กับ ไตเรลล์ มาลาเซีย มีก็เหมือนไม่มี
หรือบางทีตัวรุกริมเส้นอย่าง อันโตนี่ อาจต้องปรับมาเล่นเป็น 'วิง-แบ็ค'
เท่านั้นไม่พอ
ระบบ 3-4-3 ไม่มีตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 10
คำถามคือแล้วจะเอา บรูโน่ แฟร์นันด์ส ไปไว้ตรงไหน ???
ชะรอยว่าจะถูกขยับออกไปเป็น 'หน้ากึ่งปีก' หรือถอยลงมาเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางคู่กับมิดฟิลด์ตัวรับแบบจ๋าๆ
4. รูปแบบการเล่น
เวลาเซ็ตบอลในแดนตัวเอง เขาจะใช้กองหลัง 3 คนยืนหน้ากระดานต่ำมาก (แทบติดเส้นหลัง) ในระนาบเดียวกัน ล่อให้คู่แข่งบีบสูงขึ้นมามากที่สุด เพื่อเปิดพื้นที่ในแดนหลัง
เวลาเป็นฝ่ายรับ กองหน้า 3 ตัวจะบีบสูง แดนกลางกับแดนหลังขยับตามขึ้นมาแล้วเพรสซิ่ง
เมื่อตัดบอลได้ก็จะจู่โจมแบบสายฟ้าผ่าหัวหมาทันที ไม่มีเคาะบอลวนไปวนมาให้มากจังหวะ
คุ้นๆ ไหมครับ รูปแบบการเล่นนี้ บางทีมันอาจเป็นเหตุผลบอกว่าทำไม ลิเวอร์พูล เคยคิดจะเอาเขาไปแทน เจอร์เก้น คล็อปป์
อืมมมมม...ว่าแต่เคยคิดกลับกันไหมว่าสุดท้ายแล้วทำไม พวกหงส์แดงถึงไม่เอา
5. ผมไม่พูดถึงความสำเร็จ หรือฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงและดุดันของ สปอร์ติ้ง ในตอนนี้นะครับ
เหตุเพราะก่อนเลื้อยตูดมาเป็นพ่อใหญ่แห่ง โอลด์ แทรฟฟอร์ด - เอริค เทน ฮาก ก็เคยทำให้ อาแจ๊กซ์ เป็น 'มอนส์เตอร์'
โรงละครแห่งความฝัน 'เจ้าที่แรง' แถมเถื่อนยิ่งกว่า 'นิว แลนด์' ที่ 'หมู่เชียร' เคยพูดว่า 'ถ้าไม่แน่จริง อยู่ไม่ได้' ต่อให้เจ๋งมาจากไหนก็มักมีอันเอาชื่อเสียงมาทิ้งเอาไว้ที่นี่ทุกคน
แค่อยากจะบอกว่าถ้าเจ๋งจริง ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับสูตรการจัดตัวผู้เล่นที่เป็นตัวเลขอะไรนั่นหรอก สามารถปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ศักยภาพทีม และสมรภูมิแข้ง
ว่าแล้วผมขอทิ้งท้ายเหมือนตอนที่ แมนยูไนเต็ด ได้ เอริค เทน ฮาก มาเป็นกุนซือใหม่ๆ ดีกว่า
คือ...เดี๋ยวก็จะประจักษ์แก่สายตาเองนั่นแหละว่าเป็นยังไง ???