น่าติดตามยิ่งนัก! มอง ลิเวอร์พูล ยุคใหม่กับเกมหนักที่รออยู่

1.รูปแบบการเล่นเปลี่ยนแปลงจากตอนที่ "บอสคล็อปป์" เล็กน้อย ตรงที่พยายามต่อบอลกันมากขึ้น และครองบอลกันนานขึ้น สปีดความเร็วของเกมจึงลดลง เพราะต้องการความแน่นอนมากขึ้น

ผลลัพธ์ที่ออกมาคือเสียประตูน้อยลง แถมถูกคู่แข่งยิงนำก่อนแค่ 2 นัดเท่านั้น ขณะที่เกมรุกยังมีประสิทธิภาพสูงเหมือนเดิม

2. ฟอร์มการเล่นโดยรวมเข้าขั้น...ไฉไล เพราะใน 10 เกมที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ในมาตรฐาน และมีความคงเส้นคงวาพอสมควร

สังเกตจากเกมที่ชนะยังไม่มีนัดไหนที่กระเสือกกระสน หรือ "โกงความตาย"

แม้จะมีบางเกมที่เล่นไม่ค่อยดีนัก หรือต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ก็สามารถเอาตัวรอดได้ ยกเว้นเกมพ่าย ฟอเรสต์ คาบ้านที่อาจมองได้ว่าเป็นอุบัติเหตุลูกหนัง

ถ้าคิดเป็นคะแนน ผมให้ 7.5

3.จุดเด่นที่ผมเห็นคือเกมรุกที่มีประสิทธิภาพสูงส่ง และจัดจ้านเหมือนส้มตำปูปลาร้าใส่พริก 38 เม็ด

ผ่านไป 10 นัด กระทุ้งได้ถึง 23 ประตู

ค่าเฉลี่ยคือยิงได้นัดละ 2.3 ประตู เลยทีเดียว

แต่ถ้านับเฉพาะพรีเมียร์ลีก ยิงได้ 13 ประตูจาก 7 นัด 

ค่าเฉลี่ยคือ 1.85 ประตู ต่อนัด ซึ่งยังต้องเพิ่ม เพราะยุค แมนซิตี้ เรืองอำนาจ ทีมที่จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ต้องมีค่าเฉลี่ยกะซวกตาข่ายต่อนัดที่ 2.3 ประตู เป็นอย่างต่ำ !!!

4.ผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มสะเด่าไปเลยอีน้องมากที่สุดมีอยู่ 2 คน

หนึ่งคือ ไรอัน กราเฟนแบร์ก ที่รับได้ รุกได้ ในร่างเดียวจนเกือบจะเหมือน ปาทริค วิเอร่า แล้ว

อีกหนึ่งคือ ลุยส์ ดิอาซ ที่กระชาก ลากเลื้อย และยิงประตูได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจดีนักแล

ส่วน โม ซาล่าห์ ที่ขนาดฟอร์มตกลงไป เลี้ยงผ่านบ้าง ไม่ผ่านบ้าง และใช้โอกาสเปลืองยังอุตส่าห์กดไปแล้ว 6 ประตู ในทุกรายการ

5. หลังเบรคทีมชาติ ลิเวอร์พูล จะเจอเกมหนักแบบเป็นชุด โดยปราศจากนายทวารมือหนึ่ง

เริ่มตั้งแต่สุดสัปดาห์นี้ที่เปิดบ้านเจอ เชลซี ที่กำลังมาแรง ตามด้วยการบุกเยือน อาร์เซน่อล ก่อนจะฉะกับ ไบรท์ตัน (ห), แอสตัน วิลล่า (ห), เซาธ์แฮมป์ตัน (ย), แมนซิตี้ (ห), นิวคาสเซิ่ล (ย) และ เอฟเวอร์ตัน (ย)

ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็จะเจอทั้ง ไลป์ซิก (ย), เลเวอร์คูเซ่น (ห) และ เรอัล มาดริด (ห)

มันจะเป็นช่วงที่เจอเกมตึงเครียดติดๆ กันหลายนัด

อาร์เน่อ ที่ค้นพบทีม 11 ตัวจริง เหมาะสมและลงตัว แล้วจึงอาจต้องใช้ศิลปะในการ "โรเตชั่น" ให้ถูกจังหวะหน่อย

เรียนตามตรงว่าช่างน่าติดตามยิ่งนัก

YNWA