ยิ่งคิด ก็ยิ่งเสียดาย ยิ่งเห็น ก็ยิ่งคิดถึง คิดถึงทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองยังอยู่ตรงหน้านี่แหละ
แต่แนวโน้มที่กำลังเป็นไป เดอะค็อป อาจกำลังนับถอยหลังถึงเวลาที่จะได้เห็น ควีวิน เคลเลเฮอร์ ในชุดลิเวอร์พูล
ผมคิดว่าด้วยบุคลิกและความสามารถของควีวิน คงจะหาคนที่ไม่ชอบเขาได้ยากเต็มที
นิ่ง เงียบขรึม ไม่คุยโวโอ้อวด ไม่เอาอีโก้ตัวเองมาอยู่เหนือทีม ให้ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์
ผมไม่เคยรู้สึกอุ่นใจกับผู้รักษาประตูมือสองของลิเวอร์พูลคนไหนเท่ากับเคลเลเฮอร์เลย หลายครั้งหลายปีแม้กระทั่งมือหนึ่งก็ยังอดหวั่น ๆ ใจไม่ได้ด้วยซ้ำ
หากนี่คือยุคที่ลิเวอร์พูลแก้ปัญหาเรื่องผู้รักษาประตูได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริง ๆ นับตั้งแต่วันที่คว้าตัว อลีสซง เบ็คเกอร์ มาร่วมทีมเมื่อปี 2018 แล้วต่อเนื่องด้วยการขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของเคลเลเฮอร์ นายประตูดาวรุ่งจากทีมเยาวชนของสโมสรในอีกหนึ่งปีให้หลัง
ทุกครั้งที่ได้รับโอกาสลงทำหน้าที่ เคลเลเฮอร์ทำมันได้ดีเสมอ จนสามารถเปลี่ยนความวิตกถ้าจะมีอยู่บ้างในความรู้สึกของแฟนบอลที่ศรัทธาผลงานของอลีสซงให้กลายเป็นความไว้วางใจ อุ่นใจ เชื่อใจ
เคลเลเฮอร์เองก็คงมีความสุขกับความทะเยอทะยานของตัวเองที่หวังจะไปให้ถึงเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของทีมในวันใดวันหนึ่ง โอกาสยังไม่มาก็อดทน มุ่งมั่น พยายาม วันต่อวัน สัปดาห์ต่อสัปดาห์ เดือนต่อเดือน ปีต่อปี
ในวันนั้นเขาอาจจะยังเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแห่งความกระหาย มันยังมีเวลาอีกมากด้วยอายุเพิ่งจะ 21-22 ปี
แต่วันนี้เขาอายุ 25 ย่าง 26 ปีแล้ว แม้ฤดูกาลก่อนจะมีโอกาสได้ลงเฝ้าเสาถึง 26 เกม มากที่สุดนับตั้งแต่เลื่อนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เมื่อปี 2019 แต่เมื่อ อลีสซง หายเจ็บกลับมา เขาก็ต้องกลับไปนั่งรอโอกาสที่ข้างสนามเหมือนเดิม
การตัดสินใจในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ณ เวลานั้น บางเรื่องเราเลือกได้ บางเรื่องเราเลือกไม่ได้ และหลาย ๆ เรื่องอาจไม่ใช่เราคนเดียวที่เป็นองค์ประกอบของการตัดสินใจ
เราจึงไม่อาจยึดมั่นได้หรอกว่าการตัดสินใจในวันนี้จะเหมือนกับการตัดสินใจในอีก 3 ปีข้างหน้า 5 ปีข้างหน้า หรือ 10 ปีข้างหน้า
ด้วยฝีมือของเคลเลเฮอร์ เขาเป็นมือหนึ่งให้ลิเวอร์พูลได้แน่นอน เรื่องนี้พิสูจน์กันมาแล้วจากผลงานยอดเยี่ยมหลายครั้งหลายหนที่กลายเป็นมาตรฐาน
แต่เมื่อคุณอยู่ในทีมที่มี อลีสซง เบ็คเกอร์ เป็นเบอร์หนึ่ง โอกาสของคุณก็ย่อมน้อยลงตามไปด้วยเป็นธรรมดา
ลิเวอร์พูลมีผู้รักษาประตูที่ดีมาก ๆ อยู่ในทีมทั้งตัวจริงและตัวสำรอง ควีวินคือตัวสำรองที่มอบความสบายใจให้กับเราไม่แพ้มือหนึ่งเลย
เหนียวหนึบ มั่นคง ไม่พลาดลูกง่าย ๆ และมีป้องกันลูกยากให้เห็น
ห้าปีแล้วที่เคลเลเฮอร์รักษาความสม่ำเสมอ ห้าปีแล้วที่เขาอดทนรอโอกาสอย่างเงียบ ๆ
ห้าปีแล้วที่เขาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ กำหนดมาตรฐานของตัวเองเอาไว้แล้วทำมันได้ครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมอยู่ตรงนั้นทุกเวลาที่ทีมต้องการ
ห้าปีแล้ว.. จากวัย 21 สู่อายุที่กำลังจะขึ้น 26 การตัดสินใจแต่ละครั้งสำหรับอนาคตของตัวเองย่อมจริงจังขึ้น คิดหนักมากขึ้น
สัญญาฉบับปัจจุบันของเคลเลเฮอร์กับลิเวอร์พูลจะหมดลงหลังจบฤดูกาล 2025/26
ลำพังการตัดสินใจส่วนตัวด้วยปัจจัยเรื่องอายุ ความสามารถ และสถานการณ์ที่เป็นไปก็มีโอกาสที่เขาจะย้ายทีมพอสมควรอยู่แล้ว มันยังสั่นคลอนขึ้นไปอีกจากการเข้ามาของ จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ นายทวารทีมชาติจอร์เจีย
ดีลนี้ของลิเวอร์พูลทำให้หลายคนมองว่ามันคือฟางเส้นสุดท้ายที่จะเชื่อมเคลเลเฮอร์ไว้กับลิเวอร์พูล ตัวเขาเองก็พูดชัดหลังจากนั้นว่าเขาจำเป็นต้องไปเพราะต้องการลงสนามอย่างสม่ำเสมอ และการเดินดีลมามาร์ดาชวิลี่ของลิเวอร์พูลก็เป็นเรื่องที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าปัจจัยแห่งการตัดสินใจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว
กับดีลมามาร์ดาชวิลี่นี้ อาจจะเป็นลิเวอร์พูลที่เลือกดึงนายประตูมือหนึ่งของบาเลนเซียและทีมชาติจอร์เจียเข้ามาเป็นมือสองแทนเคลเลเฮอร์ก็ได้ หรืออาจจะเป็นการตัดสินใจที่มีร่วมกันแล้วระหว่าง ควีวิน กับสโมสรก็ได้ หรืออาจจะเป็นท่าทีของเคลเลเฮอร์เองในสัญญาฉบับใหม่ที่ทำให้สโมสรต้องรีบดำเนินการหาคนมาแทนแต่เนิ่น ๆ ก็ได้
เราไม่รู้หรอกครับว่าสถานการณ์ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร หรือกระทั่งความเป็นไปได้ที่สุดโต่งที่สุดคือแจ๊กพ็อตไปออกที่ อลีสซง ถ้าหากทีมแพทย์ของลิเวอร์พูลมองเห็นว่าอาการเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังที่ทำให้เขาต้องพักไป 2 เดือนตั้งแต่กุมภาพันธ์ถึงเมษายนที่ผ่านมานั้นคือสัญญาณที่ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่สำหรับนายทวารวัย 31 ปี
เพียงแต่ทางออกซึ่งไปลงที่ อลีสซง นั้นน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่สุด
จากทิศทางที่กำลังเป็นไป จากข่าวคราวต่าง ๆ ที่ออกมา จากดีลล่าสุดเรื่องมามาร์ดาชวิลี่ และโดยเฉพาะจากคำพูดของควีวินเอง บางทีมันอาจจะถึงเวลาที่เราต้องพูดถึง เคลเลเฮอร์ กับฤดูกาลสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ
ในความหวังของทุกคนที่อยากเห็นเขาอยู่ต่อนั่นล่ะครับ ในความปรารถนาของตัวเขาเองด้วยที่อยากจะปักหลักเป็นกำลังสำคัญอยู่กับลิเวอร์พูลไปนาน ๆ
แต่ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสมปรารถนาไปทุกเรื่องหรอก
ต่อให้รักและผูกพันกันแค่ไหน อาลัยอาวรณ์ไม่อยากแยกจากกันเพียงใด สิบปีที่อยู่กับทีมตั้งแต่ยังเป็นดาวรุ่ง ทะลุขึ้นมาจากทีมเยาวชนสู่ชุดใหญ่ บางครั้งคุณก็จำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่งที่มีอนาคตเป็นเดิมพัน
ไม่อยากทำ แต่ก็ต้องทำ
ผมเชื่อว่าเดอะค็อปมากมายรักและเห็นใจเคลเลเฮอร์ ถ้าเลือกได้ก็อยากให้เขาอยู่กับทีมต่อไป แต่ในขณะเดียวกัน ทุกคนก็เข้าใจดีถ้าเขาเลือกเป็นฝ่ายจากไป และคงจะมีแต่คำอวยพรดี ๆ มอบให้
ฤดูกาลนี้เคลเลเฮอร์มีโอกาสได้ลงสนามในเกมถล่ม บอร์นมัธ 3-0 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพราะ อลีสซง ได้รับบาดเจ็บกะทันหัน และทำหน้าที่ต่อเนื่องในเกมลีก คัพที่ยำใหญ่ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 5-1 เมื่อคืนที่ผ่านมา แต่ในเกมลีกกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส สุดสัปดาห์น่าจะหลีกทางให้อลีสซงกลับมาเป็นมือหนึ่งเหมือนเดิม
เส้นทางของเคลเลเฮอร์กับลิเวอร์พูลก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ลงเล่นเพื่อรอตัวจริงกลับมา.. เหมือนการรอคอยบทบาทมือหนึ่งที่ไม่เคยมาถึง
มันอาจจะเกิดขึ้นในที่สุดก็ได้ อาจจะในเร็ววันนี้ หรืออีกหนึ่งปี สองปี สี่ปี ก็ได้ แต่คุณมั่นใจได้ไหมว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ หรือมันจะมาถึงจริงไหม ความยากลำบากของเรื่องนี้ก็อยู่ตรงนี้
ในเกมกับเวสต์แฮมและโดยเฉพาะบอร์นมัธ เคลเลเฮอร์ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีในแบบที่เขาเป็นมาตลอด คือไม่พลาดลูกง่าย และมีจังหวะซูเปอร์เซฟบอลยาก ๆ ที่น่าจะเป็นประตู
จากการคำนวนค่า xG หรือ expected Goal ลิเวอร์พูลน่าจะเสียประตูให้บอร์นมัธ 1.05 ลูกในเกมนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ 0.. ทีมเก็บคลีนชีตได้ ไม่ถูกเจาะตาข่าย
ความดีความชอบสมควรยกให้เคลเลเฮอร์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะการควักมหัศจรรย์ลูกนั้นที่ช่วยให้ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่ต้องมีชื่อขึ้นสกอร์บอร์ดฐานะคนทำเข้าประตูตัวเอง (ก่อนจะโดน วาตารุ เอนโด ส่งบอลผ่านมือเข้าไปตุงตาข่ายจนได้ในเกมล่าสุด)
ยิ่งเห็นเขาเล่น ยิ่งเห็นแคแร็กเตอร์ของเขา ยิ่งเห็นความพยายามของเขา เห็นการรักษาความสม่ำเสมอได้เป็นอย่างดีของเขา เดอะค็อปก็ยิ่งเสียดาย
เขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน แต่บางครั้งชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้จริง ๆ และมันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่เลย
เอมิลิอาโน่ มาร์ติเนซ คือตัวอย่าง เขารักอาร์เซน่อล ยืนหยัดทุ่มเทให้อาร์เซน่อล รอคอยโอกาสที่อาร์เซน่อล และทำหน้าที่ได้ดีทุกครั้งเมื่อได้ลงเฝ้าเสาให้อาร์เซน่อล
มาร์ติเนซถูกดึงเข้าทีมอาร์เซน่อลในวัย 18 ปี ได้เล่นในทีมชุดใหญ่เมื่ออายุ 20 ปี แต่โอกาสของเขาถูกจำกัดด้วยการมีอยู่ของ วอยเช็ก เชสนี่ และ ลูคัส ฟาเบียนสกี้
10 ปีกับอาร์เซน่อล มาร์ติเนซได้โอกาสลงสนามในทีมชุดใหญ่แค่ 38 นัด แยกเป็นเอฟเอ คัพ 6 นัด ลีก คัพ 7 นัด ฟุตบอลสโมสรยุโรป 9 นัด รายการอื่น 1 นัด และพรีเมียร์ลีกแค่ 15 นัด
ค่าเฉลี่ยการได้เฝ้าเสาในพรีเมียร์ลีกตลอดเวลา 10 ปีของมาร์ติเนซคือ 3 นัดในทุก ๆ 2 ฤดูกาล.. น้อยอย่างน่าขมขื่นสำหรับผู้รักษาประตูที่ก้าวต่อไปเป็นแชมป์โลกในภายภาคหน้า
นั่นล่ะครับ ในวันที่เขาตัดสินใจว่าพอแล้วกับช่วงเวลาที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อปี 2020 หลังจากที่ แบรนด์ เลโน่ หายเจ็บกลับมาแล้วทวงมือหนึ่งคืน มันคงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่ง
ใจหนึ่งอาจจะยังอยากสู้ต่อไป ด้วยวัย 28 ปีที่มีพร้อมเรื่องความสามารถ และยังเริ่มแสดงผลงานให้ทุกคนได้เห็นบ้างแล้วในฤดูกาล 2019/20 ที่ได้เล่นรวมถึง 23 เกมทุกรายการ มากกว่า 8 ปีก่อนหน้านั้นรวมกัน มันก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีโอกาส
แต่หากมันไม่เป็นไปอย่างที่หวังเล่า เขาจะยังต้องอยู่ในสถานะแบบเดิมไปจนถึงเมื่อไหร่
สุดท้ายมาร์ติเนซตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ แอสตัน วิลล่า และก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา
ภาพของเคลเลเฮอร์ที่ลิเวอร์พูลก็เป็นเหมือนภาพของมาร์ติเนซที่อาร์เซน่อล
ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าคุณตัดสินใจถูกหรือผิดเพราะอนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่กับนักฟุตบอลอาชีพหรือจริง ๆ แล้วก็พวกเราทุกคนนั่นแหละ มันต้องมีเวลาที่ต้องตัดสินใจด้วยกันทั้งนั้น
ไม่รู้เลยนะครับว่ากับ ควีวิน เคลเลเฮอร์ สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร มันอาจจะเป็นอย่างที่เราคิด หรืออาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ทุกสิ่งล้วนเป็นเรื่องไม่แน่นอน
วันนี้เรายังอยู่ด้วยกัน ให้กำลังใจกัน มีแต่คำพูดดี ๆ ให้กัน ควีวินคือตัวสำรองที่ได้รับความรักและความไว้วางใจจากทุก ๆ คนมากในระดับคนสำคัญ
รอยยิ้มเรียบ ๆ ของเขา.. คงจะเป็นรอยยิ้มที่มีผู้คนคิดถึงมากมายจริง ๆ นะครับ
ตังกุย
#จากคอลัมน์กรุ่นกลิ่นหมึก
#หนังสือพิมพ์สตาร์ซอคเก้อร์รายวัน