อาร์เซน่อล แสดงให้เห็นอย่างเต็มตาว่าพวกเขายังเป็นทีมที่มีลุ้นคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ในซีซั่นนี้เช่นเดิมจากการบุกไปเอาชนะ สเปอร์ส อริร่วมเมืองได้ถึงรังด้วยสกอร์ 1-0 จากการฟาดแข้งที่สนาม ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ย. แม้จะมีสภาพทีมไม่เต็มร้อย แต่มาได้ กาเบรียล เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติ บราซิล โขกลูกเตะมุมฝัง ไก่เดือยทอง คาเล้าอย่างเจ็บแสบ
1. ไก่สลับโผสี่ตำแหน่ง
อังเก้ ปอสเตโคกลู กุนซือทีม สเปอร์ส โรเตชั่นนักเตะตัวจริงสี่รายจากเกมออกไปแพ้ นิวคาสเซิ่ล 2-1 ก่อนเบรกเกมทีมชาติ
ทีมตราไก่ได้ มิคกี้ ฟาน เดอ เฟน กองหลังที่หายเจ็บลงบู๊ได้เช่นเดียวกับ โดมินิค โซลันกี้ ที่ฟิตกลับมายืนเป็นหัวหอก
ถึงกระนั้น อีฟส์ บิสซูม่า หายไปจากเกม ขณะที่ ป๊าป ซาร์ หลุดไปนั่งสำรองโดยมี โรดริโก้ เบนตากูร์ กับ เบรนแนน จอห์นสัน คืนโผตัวจริง
2. ปืนเครียดขาดคีย์แมนเพียบ
อาร์เซน่อล ของกุนซือ มิเกล อาร์เตต้า ประสบกับปัญหาไร้นักเตะคนสำคัญหลายรายนอกเหนือจาก เดแคลน ไรซ์ ที่ติดโทษแบน และ มาร์ติน โอเดอการ์ด กับ มิเกล เมริโน่ สองกองกลางที่บาดเจ็บ
เดอะ กันเนอร์ส บุกมาเยือนเล้าไก่เกมนี้โดยไม่มี ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ กองหลังทีมชาติ อิตาลี และ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ขุนพลทีมชาติ ยูเครน ที่เดี้ยง และไม่มีส่วนร่วมทั้งคู่ ขณะที่ กาเบรียล เชซุส ฟิตพอที่จะนั่่งรอที่ข้างสนาม
ด้วยเหตุนี้ ทีม ปืนใหญ่ จึงขาดกำลังพลเพิ่มเป็นเจ็ดราย และต้องใส่ชื่อดาวรุ่งวันละอ่อนหลายรายอยู่ในซุ้มตัวสำรองทั้ง ไอเด็น เฮฟเว่น (17 ปี) , มัลดินี่ คาคูร์รี่ (18 ปี) , ไมล์ส ลูอิส สเคลลี่ (17ปี) , อีธาน เอ็นวาเนรี่ (17 ปี) และ อิสเมล คาเบีย (18 ปี)
อย่างไรก็ดี รวมแล้วอาคันตุกะปรับทัพตัวจริงจากเกมเฝ้าบ้านเสมอกับ ไบรท์ตัน 1-1 สองตำแหน่งโดยที่ จอร์จินโญ่ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเกมแรกในรอบสามเดือนร่วมกับ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ได้เสียบแทน ไรซ์ กับ โอเดอการ์ด
3.สถิติบังเกิด
สมกับเป็นเกม นอร์ทลอนดอนดาร์บี้ อย่างแท้จริงสำหรับการบู๊กันระหว่าง สเปอร์ส กับ อาร์เซน่อล แม้ใน 45 นาทีแรกจะไม่มีประตูเกิดขึ้นก็ตาม
ต่อการปราศจากสองมิดฟิลด์คนสำคัญทำให้ อาร์เซน่อล ครองเกมสู้ สเปอร์ส ไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันทีมเจ้าบ้านของกุนซือออสซี่ก็มีช่องโหว่ในแผงหลังอย่างที่แสดงให้เห็นแทบทุกนัด และทำให้ เดอะ กันเนอร์ส โต้กลับจนเกือบได้ประตูหลายหนอยู่เหมือนกัน
จบครึ่งแรกต้องบอกว่าทั้งสองทีมเร่งเกมแบบลุกลี้ลุกลนมากเกินไปหมายชิงชึ้นนำก่อนจึงทำให้จังหวะสุดท้ายขาดความแน่นอนกระทั่งพังประตูกันไม่สำเร็จด้วยกันทั้งคู่
ขณะเดียวกัน ไม่บ่อยเลยที่ทีมของ อาร์เตต้า จะครองบอลเป็นรองคู่แข่งแบบลิบลับถึงเพียงนี้ซึ่งหากพวกเขามีทั้ง ไรซ์ และ โอเดอการ์ด ลงเล่นก็ไม่น่าจะเป็นรองทีมร่วมเมืองอย่างที่เห็น
สถิติเผยว่าหลังจบครึ่งแรก สเปอร์ส เหนือกว่าในแง่การครองบอลสูงถึง 66.7:33.3% แต่อย่างที่บอกว่าแผงหลังเจ้าบ้านไม่ได้เหนียวแน่นสักเท่าไหร่ ทีม ปืนใหญ่ จึงหาโอกาสยิงได้ 5 ครั้งเท่ากัน แถมมีโอกาสได้ประตูมากกว่าด้วยซ้ำจากการส่งบอลเข้ากรอบได้เหนือกว่า ไก่เดือยทอง 3:1 ครั้ง
อย่างไรก็ดี จากการบู๊กันแบบไม่มีใครยอมใคร ใบเหลืองจึงปลิวว่อนโดยมีนักเตะได้ใบเหลืองรวมกัน 7 ใบจากการทำฟาวล์ 17 ครั้งซึ่งเป็นสถิติการแจกใบเหลืองในครึ่งแรกของเกม พรีเมียร์ลีก สูงที่สุดเทียบเท่ากับสถิติของรายการนี้เลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ ในเกมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แอนโธนีย์ เทย์เลอร์ แสดงความเฮี้ยบด้วยการแจกใบเหลืองหลังจบเกมที่ เชลซี บุกไปเฉือนชนะ บอร์นมัธ 1-0 ให้กับนักเตะของทั้งสองฝ่ายรวมทั้งหมด 14 ใบ ซึ่งส่งผลให้การฟาดแข้งที่สนาม ไวทาลิตี้ สเตเดี้ยม ได้ชื่อว่ามีใบเหลืองปลิวว่อนมากที่สุดของศึกพรีเมียร์ลีก
ถึงกระนั้น หลังจบ 90 นาทีที่ ท๊อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม มีใบเหลืองเกิดขึ้นรวมกัน 8 ใบแบ่งเป็นเจ้าบ้าน 5 ใบ ทีมเยือน 3 ใบซึ่งเพิ่มมาจากครึ่งแรกแค่ใบเดียวเท่านั้น
4. เจ้าพ่อลูกนิ่งของแทร่
ในที่สุดมวยหมัดหนักกว่าอย่าง อาร์เซน่อล ก็ขอจังหวะ "โป้งเดียวจอด" โดยอาศัยจุดแข็งในด้านการเป็นเจ้าพ่อลูกเซ็ตพีซเล่นงาน สเปอร์ส ได้สำเร็จจากลูกเตะมุมซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าพวกเขามีโค้ชลูกนิ่งคนเก่งคอยติวเข้มให้
หลังจาก กาเบรียล โขกลูกเตะมุมจาก บูคาโย่ ซาก้า ตุงตาข่าย เดอะ กันเนอร์ส จึงมีผลงานเช็กบิลจากลูกเซ็ตพีซที่ไม่รวมลูกโทษมากกว่าทุกทีมใน พรีเมียร์ลีก รวมเป็น 23 ประตูแล้วนับตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่นก่อนหน้านี้
ในทางกลับกัน สเปอร์ส เสียประตูจากลูกเซ็ตพีซที่ไม่รวมลูกโทษมากถึง 18 ประตูนับตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่นก่อนซึ่งเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดรองจาก ฟอเรสต์ ทีมเดียวเท่านั้น (23 ประตู)
ทั้งหลายทั้งปวงนี้จึงต้องยกเครดิตให้กับ นิโคลัส โยเวอร์ โค้ชลูกเซ็ตพีซของ อาร์เซน่อล รับไปเต็มๆเนื่องจากนับตั้งแต่เข้ามาร่วมเป็นทีมสตาฟฟ์ของ อาร์เตต้า เมื่อปี 2021 พวกเขาได้ประตูจากจังหวะดังกล่าว 42 ลูกแล้วซึ่งเป็นสถิติที่เหนือกว่าทุกสโมสรในห้าลีกใหญ่ของยุโรป
ขณะเดียวกัน สี่ประตูหลังสุดที่ อาร์เซน่อล กระซวกตาข่าย สเปอร์ส ได้ในเกม พรีเมียร์ลีก เกิดจากลูกเตะมุมสามประตูทั้งๆที่ 88 ประตูก่อนหน้านี้ในเกม นอร์ทลอนดอนดาร์บี้ เกิดจากลูกเตะมุมแค่ 3 หนเท่านั้นซึ่งชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของ โยเวอร์ อย่างแท้จริง
ถึงตอนนี้ อาร์เซน่อล กำชัยเกมเยือนของ พรีเมียร์ลีก ได้หกนัดติดต่อกันแล้วซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำได้นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมี.ค.-ก.ย.2013 ที่ อาร์แซน เวนเกอร์ เคยคุมทีมชนะเกมเยือนในลีกได้แปดนัดติดต่อกัน อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ ท็อปกัน กำชัยเหนือ ไก่เดือยทอง ในเล้าไก่ได้สามเกมรวดด้วยนับตั้งแต่เดือนก.ย.1988
และอย่างที่บอก เกมนี้ อาร์เซน่อล ครองบอลได้ด้อยกว่า สเปอร์ส ลิบลับโดยหลังจบ 90 นาทีทีมเจ้าบ้านยังเหนือกว่าในสัดส่วน 63.7%:36.3% และเป็นทีมของ ปอสเตโคกลู เช่นกันที่ได้ง้างไก 15 ครั้งเข้ากรอบ 5 ครั้ง ขณะที่ทีมเยือนได้ลุ้น 7 ครั้งเข้ากรอบ 4 ครั้ง
กระนั้นก็ดี แม้ อาร์เซน่อล จะได้ง้างยิงตลอดทั้งเกมแค่ 7 ครั้งซึ่งเป็นสถิติที่ต่ำต้อยที่สุดของพวกเขาในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ แต่ทีม ปืนใหญ่ อาศัยลูกเซ็ตพีซที่ทรงประสิทธิภาพสยบ ไก่เดือยทอง ได้อย่างแสบสันต์
5. ไร้ เคน ไร้ความหวัง?
ดูท่าว่า สเปอร์ส จะต้องรอคอยความสำเร็จกันต่อไปเป็นแน่แท้เพราะขนาดได้เล่นในบ้านต้อนรับ อาร์เซน่อล ที่มีแผงกลางอ่อนยุบลงไปเยอะ พวกเขายังแพ้ศัตรูตัวฉกาจต่อหน้าสาวกตัวเองแม้จะครองบอลได้เหนือกว่าก็ตาม
หลังแพ้ทีมร่วมเมืองอีกหน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปอสเตโคกลู หนีไม่พ้นโดนสื่อวิจารณ์ยับชัวร์เนื่องจากซีซั่นก่อนเขาเคยตอบข้อถามว่าไม่สนใจอะไรทั้งนั้นแม้ ไก่เดือยทอง จะมีสถิติตั้งรับลูกเซ็ตพีซที่เลวร้าย และมานัดนี้พวกเขาก็แพ้เพราะปัญหาดังกล่าวที่กุนซือเลือดจิงโจ้ไม่คิดเหลียวแลอีกจนได้
เอาเป็นว่าจากหลักฐานที่ปรากฏ สเปอร์ส น่าจะร้างโทรฟี่ต่อไปแบบยาวๆเพราะขนาดช่วงที่มี แฮร์รี่ เคน ช่วยยิงประตูเป็นว่าเล่น พวกเขายังไปไม่ถึงฝั่งฝัน แล้วนับประสาอะไรกับการปราศจากยอดกองหน้าที่ย้ายออกไปแล้วซึ่งส่งผลให้ ซน ฮึง มิน ต้องลำบากหนักอย่างช่วยไม่ได้ต่อการที่ไร้คู่ขาที่รู้ใจ
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งๆที่ได้ค่าตัวกองหน้าทีมชาติ อังกฤษ อย่างมหาศาล แต่ สเปอร์ส เลือกช็อปปิ้งดาวยิงเกรดต่ำอย่าง โดมินิค โซลันกี้ เข้ามาเสียบแทน แถมตัดสินใจยืมตัว ติโม แวร์เนอร์ อีกรอบ มันจึงไม่ตอบโจทย์เลยแม้แต่น้อย