เปิดบันทึก "แดงเดือด"

 เปิดบันทึก "แดงเดือด"
สำหรับ อาร์เน่อ สล็อต แล้วอาจถือเป็นการประเดิมที่ดูเร็วไปหน่อย ก็แค่เกมที่สามของฤดูกาลเท่านั้นเอง ยังไงก็ตามเขาก็ดูเตรียมพร้อมและศึกษาเรื่องราวความเป็นมาอย่างดี

"ผมไม่ต้องให้ใครมาพูดอะไรเยอะถึงเกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ผมรู้ดีว่าพวกเขาเป็นคู่อริของเราโดยตรง มันมีความสำคัญมากสำหรับแฟนบอลสองทีม"    

มันย่อมมีภาพหลายภาพที่ผุดขึ้นบนความทรงจำของแฟนบอลสองฝ่าย บ้างอาจนึกถึงวินาทีที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด วิ่งไปจูบกล้องทีวีข้างสนาม บ้างอาจคิดถึงเกมที่ เฟร์นานโด ตอร์เรส ทำเอา เนมานย่า วิดิช เสียผู้เสียคนและแน่นอนก็ย่อมมีอีกจำนวนไม่น้อยที่คิดถึงวาจาที่ลั่นเอาไว้จากเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน "knock liverpool off their fucking perch"    

การเจอกันที่แอนฟิลด์ในปี 2009 จึงมีแผ่นผ้าที่ทาง แฟนผี บรรจงทำด้วยมือสลักข้อความไว้ว่า “You told us to come back when we’ve won 18 … we are back”    

ครับ ก่อนหน้านั้นต่อให้สโมสรสีแดงแห่งแมนเชสเตอร์ขึ้นครองบัลลังก์ประมุขกี่ครั้งก็ตามทว่าบนความรู้สึกของกองเชียร์หงส์แล้วยังเชื่อมั่นเสมอว่ายังอีกห่างไกลจากสถิติที่พวกเขาเองถือเอาไว้ มันเลยเป็นที่มาของบทเพลงในช่วงหนึ่ง “Come back and sing Ooh-Aah Cantona when you’ve won 18”    

ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเกมแดงเดือดอันมีศักดิ์ศรีค้ำคอกันมาจากเหตุผลหลักเพราะว่าสองสโมสรโลโก้หงส์กับอสูรเป็นสองทีมที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของอังกฤษ การขับเคี่ยวแย่งชิงความเป็นเบอร์หนึ่งจึงทำให้รังสีอาฆาตพยาบาทรุนแรงจนกลายเป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับความสนใจที่สุดของโลก        

ช่วงระหว่างปี 1973-1990 เป็นลิเวอร์พูลที่กวาดแชมป์ลีกไปถึง 11 สมัยโดยที่แมนฯยูไนเต็ดไม่ได้มีเอี่ยวสักครั้งแต่ก็เช่นกันพวกเขาก็แทบเหมาโทรฟี่ลีกตลอดกว่าสามทศวรรษที่มี เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปกครองทีม นับรวมได้ทั้งหมดถึง 13 สมัย

จากประสบการณ์ส่วนตัวในเกมแดงเดือดยังมักได้ยินการตะเบ็งลำคอใส่กันแบบนี้เสมอ...

เดอะ ค็อป “Walk on, walk on, with hope in your heart, you’ll never walk alone.”

แฟนผี : “Sign on, sign on, with hope in your heart, you’ll never get a job.”(ล้อเลียนว่าในอดีตเมอร์ซี่ย์ไซด์เป็นนครที่มีอัตราคนตกงานสูงที่สุด)

เดอะ ค็อป : “We all hate Mancs and Mancs and Mancs.”

แฟนผี : “If you all hate Scousers clap your hands.”

เดอะ ค็อป : “We won it five times in Istanbul, we won it five times.”(เป็นเพลงที่ถูกนำมาร้องบ่อยในแดงเดือดก่อนหน้าที่ได้ครองเจ้ายุโรปสมัยที่หกในปี2019)

แฟนผี : “We’ve won it three times without killing anyone, we’ve won it three times.”

การโต้ตอบจากฝูงเร้ด อาร์มี่ส์โดยเฉพาะยามมาเยือนแอนฟิลด์ก็ทำให้พวกเจ้าถิ่นถึงกับจุกเสียดแน่นท้องได้เสมอเนื่องจากเป็นการเอาคืนที่เจ็บแสบด้วยการพยายามบอกให้รู้ว่าถึงพวกเขาจะซิวถ้วยยุโรปน้อยกว่าเพียง3หนแต่ก็ไม่เคยฆ่าใครตาย

โศกนาฏกรรมเฮยเซล์นัดชิงยูโรเปี้ยน คัพระหว่างลิเวอร์พูลกับยูเวนตุสปี 1985 โดยเกมวันนั้นมีกองเชียร์เสียชีวิต 39 คน (ส่วนใหญ่มาจากอิตาลี)และทำให้สโมสรจากอังกฤษถูกแบนในเวทียุโรปคงเป็นบาดแผลที่แฟนบอลคู่อริยังคงนำมาร้องแทงใจดำอยู่ อาจไม่ทุกเกมและไม่ใช่ทุกคนทว่ามันก็ยังคงมีให้ได้ยินจนเป็นข่าวพาดหัว

แน่นอนว่าทางเดอะ ค็อปเองก็ไม่มีทางยอม มีสวนหมัดใส่ บ้างกางมือออกสองข้างทำท่าเครื่องบินหรือว่าบ้างที่ตะโกนออกมา"มิวนิค มิวนิค มิวนิค"

เหตุเศร้าสลดเครื่องบินของทีมแมนฯยูไนเต็ดตกที่กรุงมิวนิคปี 1958 ยังคงเป็นเรื่องที่ทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์คงมีการรำลึกและทำพิธีไว้อาลัย

บางทีฟุตบอลก็มักทำตัวล้ำเส้นแบบนี้...

ไม่มีบันทึกใดสรุปได้ว่าจุดเริ่มที่สองสโมสรสีแดงนี้ชิงชังกันคือเมื่อไร? แม้ว่าจะมีการเล่าถึงครั้งอดีตตอนที่ทั้งสองเมืองที่ห่างกันประมาณ 35 ไมล์คงปรองดองกัน ก็แมนเชสเตอร์มีกิตติศัพท์ด้านอุตสาหกรรมผ้าคอตตันแต่ไม่มีทางเดินเรือส่วนลิเวอร์พูลเองมีท่าเรือขนาดใหญ่ที่คอยรับส่งสินค้าจากทั่วทุกมุมโลกดังนั้นจึงเข้าตามภาษิตโบราณ'น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งปลา'

"Manchester made and Liverpool trade" เป็นวลีที่โด่งดังมากเวลานั้น

แต่แล้ววันหนึ่งก็ต้องมาแตกหักเมื่อทางแมนเชสเตอร์รู้สึกว่าโดนทางลิเวอร์พูลขูดรีดค่าเช่าจึงหันมาขุดคลองจนมีทางเดินเรือของตัวเองในที่สุดซึ่งนี่เองก็เป็นที่มาว่าทำไมภายในโลโก้ปีศาจแดงถึงมีสัญลักษณ์รูปเรือประทับไว้อยู่

กระนั้นพฤติกรรมในสนามของทั้งสองทีมนับได้ว่าเป็นพันธมิตรที่ดี มีการเขียนอ้างถึงว่าปี 1915 ซึ่งทางแมนฯยูไนเต็ดกำลังดิ้นรนหนีกตกชั้นแล้วต้องมาเจอลิเวอร์พูลก็ได้ความสงเคราะห์จากทางผู้เล่นของหงส์แดงเล่นแบบยอมให้ ต่อมาย้อนไปฤดูกาล 1971/72 ทางฝั่งผีก็เคยใช้แอนฟิลด์เป็นรังเหย้ามาแล้วเนื่องจากสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด โดนแบนชั่วคราวจากเหตุแฟนบอลทะเลาะวิวาท

ตอนที่เกิดโศกนาฎกรรมฮิลล์โบโร่ก็เป็นเซอร์ อเล็กซ์ที่เป็นคนแรกๆที่ต่อสายตรงแสดงความเสียใจรวมถึงยื่นมือให้ความช่วยเหลือกับเคนนี่ ดัลกลิชผู้เป็นกุนซือหงส์ตอนนั้น

สองปรมาจารย์ของสองสโมสร...เซอร์ แมตต์ บัสบี้กับบิลล์ แชงค์ลี่ย์เองก็เป็นเพื่อนสนิทกัน มีคำบอกเล่าด้วยว่าบัสบี้เป็นคนที่แนะนำแชงค์ลี่ย์ให้ลิเวอร์พูล

เวลาเปลี่ยนทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไป ลำพังแค่มันคือ หงส์-ผี ก็มีความหมายแบบของตัวเองอยู่แล้ว 

อย่างไรก็ตามแดงเดือดอาจไม่ใช่เกมที่สนุกหรือมีการพุ่งเข้าใส่กันไม่ยั้งทุกครั้งไปโดยอย่างยิ่งระยะหลังนับแต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาแอนฟิลด์ก็สร้างทีมขึ้นไปอยู่แถวหน้า ตรงกันข้ามกับแมนฯยูไนเต็ดที่เปลี่ยนโค้ชเรื่อยมา หาความลงตัวยังไม่เจอ จึงมีบางเกมที่โดนเย้ยว่า"มาเพื่อหวังแค่แต้มเดียว..."

จากบรรยากาศที่ รอน แอตกินสัน อดีตกุนซือผียุคทศวรรษ 80 เคยกล่าวไว้ว่า "การไปแอนฟิลด์ไม่ได้ต่างจากไปรบสงครามในเวียดนามเลย ตอนที่เราลงจากรถโค้ชก็มีวัตถุลอยเข้ามาใส่ซึ่งมันเป็นแก๊สน้ำตาที่ขว้างมาจากแฟนลิเวอร์พูล"

หรือว่าจากปากคำของอดีตนักกายภาพบำบัดของแมนฯยูไนเต็ดที่เคยต้องลงไปปฐมพยาบาล เวย์น รูนี่ย์ ในแดงเดือดที่แอนฟิลด์ "ผมลงไปในสนามแล้วก็มีบางคนตะโกนเรียกออกมา 'physio physio' ซึ่งตามสัญชาติญาณก็หันไปดูว่าใครก่อนที่จะโดนของแข็งสักอย่างปามาที่ศีรษะ ผมต้องใช้ผ้าผันไว้ตลอดเกมและแฟนบอลลิเวอร์พูลหัวเราะเยาะผมไม่หยุด"

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในฐานะอดีตนักเตะและกุนซืออสูรสะท้านเต็มอกถึงความสำคัญของเกมนัดนี้ มีเรื่องเล่าว่าสมัยที่เขายังคุมทีมโมลด์ในบ้านเกิดแล้วมีโปรแกรมต้องมาเตะแชมเปี้ยนส์ ลีกรอบคัดเลือกกับ สลิโก้ โรเวอร์ส ของ ไอร์แลนด์ มีนักข่าวท้องถิ่นคนหนึ่งเข้ามาหาแล้วสารภาพตามตรง"ผมคิดว่าคุณเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมมากแม้ว่าผมจะเป็นกองเชียร์ลิเวอร์พูลก็ตาม ผมแค่อยากขอเช็กแฮนด์กับคุณ"

หากคำตอบที่ได้รับกลับไปมีใจความดังนี้"ฟังนะถ้าผมรู้ว่าคุณเป็นแฟนลิเวอร์พูล ผมก็จะไม่ขอจับมือกับคุณเด็ดขาด"

แกรี่ เนวิลล์ เองก็เสมือนตัวแทนของ เร้ด อาร์มี่ส์ และชาวแมนคูเนี่ยนทุกชีวิตกับวลีเฉพาะตัว "I'm reds and hate scousers"

ทางเจมี่ คาร์ราเกอร์เองก็เคยอธิบายความแตกต่างระหว่างการเจอเอฟเวอร์ตันกับแมนฯยูไนเต็ดเอาไว้ว่า"เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์เป็นหนึ่งไม่รองใครแต่บางทีความรู้สึกก็เหมือนคนในครอบครัวแข่งกัน บางทีพ่อเป็นลิเวอร์พัดเลี่ยน ลูกเป็นเอฟเวอร์โตเนี่ยนทว่าการเจอยูไนเต็ดนั้นมันมีเรื่องของการต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่ว่าใครกันแน่เป็นทีมเบอร์หนึ่งของประเทศ"

แดงเดือดต่างจากโอลด์เฟิร์มหรือกลาซิโก้ตรงที่ต่อให้เป็นสองสโมสรประสบความสำเร็จสูงสุดแต่มีแค่สี่ซีซั่นจาก1963-64ถึง1966-67เท่านั้นที่ต่างผลัดกันเป็นแชมป์ลีก(หงส์, ผี, หงส์, ผี)

มากกว่านั้นมีแค่สี่ครั้งเท่านั้นที่ผีจบอันดับสองรองหงส์ซึ่งทางกลับกันก็มีแค่หนเดียวเช่นกันที่หงส์เป็นรองแชมป์ต่อจากผี นั่นคือฤดูกาล2008/09

อธิบายได้ว่าหากยุคนั้นใครยิ่งใหญ่ อีกทีมก็มักกำลังตกต่ำหรืออยู่ในช่วงสร้างทีม

"พวกเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของเราเสมอ มันสามารถเรียกได้ว่าเป็นดาร์บี้แมตช์ จะด้วยทำเลที่ตั้ง, ปูมประวัติศาสตร์ของสองเมืองจนถึงสองทีมที่ยิ่งใหญ่สุดของประเทศ" เซอร์ อเล็กซ์เคยนิยามไว้

"ไก่ป่า".....


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport