ไรอัน กราเฟนแบร์ก ก้าวจากตัวสำรองสู่กำลังสำคัญของ อาร์เน่อ สล็อต อย่างไรก็ตาม มันคงเปลี่ยนไปอีกหน้า หาก ลิเวอร์พูล คว้าตัว มาร์ติน ซูบีเมนดี้ มาครอบครองได้
ถึงตอนนี้ กราเฟนแบร์ก มีโอกาสพิสูจน์และทำผลงานให้สมกับที่ สล็อต ไว้วางใจ
คำถามคือ 2 เกมที่ผ่านมา เด็กหนุ่มดัตช์ดีพอหรือยังกับบทบาทนี้ ?!
ในเกมที่ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติใหม่ในรอบ 20 ปีด้วยการผ่านบอลแม่นยำ 92 เปอร์เซ็นต์ กราเฟนแบร์ก คือคนที่มีอัตราด้านนั้นสำเร็จอยู่ที่ 72 ครั้ง
อีกทั้งยังเล่นเกมรับได้ดีแบบน่าเซอร์ไพรส์ด้วยการเข้าปะทะสำเร็จ และชิงบอลกลับคืนมากสุดที่ตัวเลข 3 กับ 9 ครั้งตามลำดับ
...
จังหวะขึ้นเกมที่น่าประทับใจสุดของ ลิเวอร์พูล คือตอนที่ กราเฟนแบร์ก ได้ครองบอล
เขาเล่นด้วยความนิ่ง และไม่เสียเวลาจับบอลมากเกินไป การแตะบอลนิดหน่อยแล้วออกบอลอย่างรวดเร็วคือสิ่งที่มีผลกระทบมากที่สุด
การเล่นตำแหน่งนี้ที่ต้องวางบอลเข้าไประหว่างแนวของคู่แข่งให้ได้นั้นเป็นตำแหน่งที่ กราเฟนแบร์ก สร้างประโยชน์ให้กับทีมได้มากที่สุด
แม้ว่าบางช่วงเขาจะโดนคู่แข่งห้อมล้อมก็ตาม
กราเฟนแบร์ก ยังช่วยแก้สถานการณ์ให้เพื่อนร่วมทีมในเกมรับได้เช่นกัน รวมถึงสามารถหมุนตัวหนีแล้วเริ่มตั้งเกมบุกให้กับทีมได้
เขาหมุนสะโพกได้อย่างรวดเร็วเพื่อหนีจากคู่แข่งเหมือนจังหวะนี้ที่ทำได้ในเกมกับ เบรนท์ฟอร์ด
จังหวะนั้นแสดงให้เห็นว่าเขายืนอยู่ระหว่างแนวเพื่อรับบอลจาก เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ แล้วพอได้บอลมาเล่น เขาก็สามารถเลือกได้ว่าจะตัดสินใจผ่านบอลไปทางใดทางหนึ่งหรือพาบอลขึ้นไปเอง
ฤดูกาลนี้ กราเฟนแบร์ก ผ่านบอลไปทั้งหมด 122 ครั้ง มีแค่ ฟลินน์ ดาวน์ส ของ เซาธ์แฮมป์ตัน กับ เควิน เดอ บรอยน์ จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ผ่านบอลเยอะกว่า
บางคนอาจแย้งว่าหาก อเล็กซิส แม็ก อัลลิสเตอร์ ได้เล่นในบทบาทนี้ เขาก็อาจจะทำผลงานได้ดีพอ ๆ กัน
ถึงกระนั้นส่วนหนึ่งที่มีการจัดทีมแบบนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ "แม็คก้า" มีอิสระมากขึ้นกับการเล่นในเกมรุก
สไตล์ของ กราเฟนแบร์ก ต่างไปจาก แม็ก อัลลิสเตอร์ ไม่มากก็จริง แต่เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างหนักในแบบเดียวกัน และเล่นได้ดีด้วยเท้าทั้ง 2 ข้าง เขาเป็นคนเริ่มเกมบุกหลายครั้งในช่วง 2 นัดแรก
กราเฟนแบร์ก ไม่ใช่จอมบีบกดดันคู่แข่งเหมือนอย่าง โรดรี้ แต่ อาร์เน่อ ยังเหลือเวลาให้แก้ปัญหาตรงนั้นอีกเยอะ
การที่เขาแย่งบอลได้ 9 ครั้ง ยังถือเป็นผลงานด้านนี้ที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของนักเตะ ลิเวอร์พูล ทุกคนในฤดูกาลก่อนด้วย
แน่นอนว่าถือเป็นการเดินหน้าไปยังทิศทางที่ถูกต้อง
...
บททดสอบที่หนักขึ้นกำลังจะมาถึง และมีแค่ผลงานจากเกมเกมนั้นเท่านั้นที่ ลิเวอร์พูล จะได้รู้ว่า กราเฟนแบร์ก เหมาะกับการเป็นตัวจริงในตำแหน่งนี้ในระยะยาวหรือเปล่า
ฤดูกาลก่อน หมายเลข 6 ถือเป็นเรื่องน่ากังวลอยู่เสมอหลังจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ พลาดได้ตัว มอยเซส ไกเซโด้ กับ โรเมโอ ลาเวีย จนต้องไปเอา วาตารุ เอ็นโด มาแก้ปัญหาแบบระยะสั้น
การต้องขับเคี่ยวกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล ในลีกโดยที่ไม่มีกองกลางตัวโฮลด์บอลถือเป็นงานหนักเกินไป
ฟอร์มช่วงต้นฤดูกาลนี้ของ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล แสดงให้เห็นว่าการมีนักเตะประเภทเบอร์ 6 ชั้นยอดที่กำลังท็อปฟอร์มอยู่นั้นมันมีความสำคัญมากแค่ไหน
แมนฯ ซิตี้ ใช้แผนแบบบีบกดดันสูงเพื่อตัดช่องทางการผ่านบอลของ เชลซี ในนัดแรก
ส่วนที่ วิลล่า พาร์ค อาร์เซน่อล บีบให้ แอสตัน วิลล่า มีพื้นที่ว่างสำหรับการขึ้นเกมแค่นิดเดียว
ซีซั่นนี้ ลิเวอร์พูล ยังไม่เจอคู่แข่งที่อันตรายแบบเดียวกับ 2 ทีมดังกล่าว ดังนั้น แม้ช่วงที่ผ่านมา กราเฟนแบร์ก จะทำผลงานได้ดี แต่เขาก็จำเป็นต้องเล่นในตำแหน่งนี้ให้นานกว่านี้ก่อนถึงจะสามารถตัดสินผลงานของเขาอย่างเหมาะสมได้
ความฉลาดด้านการแก้เกมระหว่างเกมของ อาร์เน่อ จะมีประโยชน์อย่างมาก เขาแสดงให้เห็นแล้วว่าตัวเองมองเห็นถึงปัญหาได้อย่างรวดเร็วและหาทางแก้ได้ทันควัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือตอนเรียก อิบราฮิม่า โกนาเต้ จากมานั่งสำรองลงไปแทน จาเรลล์ ควอนซาห์ ในช่วงพักครึ่งของเกมกับ อิปสวิช เพราะ ควอนซา แพ้การดวล(Duel) เยอะไป
การเปลี่ยนตำแหน่งครั้งใหญ่ของ กราเฟนแบร์ก ระหว่าง 2 เกมแรกก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ ลิเวอร์พูล ได้เล่นลูกเตะมุม
เกมกับ อิปสวิช กราเฟนแบร์ก ถูกสั่งให้ไปยืนบังผู้รักษาประตู เขาจะทำแบบนั้นทุกครั้งที่ทีมได้เล่นลูกเซตพีซ นั่นทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่เสียเปรียบเรื่องจำนวนตัวผู้เล่นมากนักเวลาที่ อิปสวิช ใช้เกมสวนกลับเร็ว
ซึ่ง "ม้าขาว" ถนัดการใช้แผนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากพวกเขาได้เล่นบอลก่อนถึง 5 จาก 9 ครั้งที่มีการเล่นลูกเตะมุมแล้วจะเห็นเลยว่า กราเฟนแบร์ก แทบจะยืนซ้อนกับ คริสเตียน วอลตัน ผู้รักษาประตู อิปสวิช
ต่อมาเป็นจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุมข้างต้น เขามีปัญหานิดหน่อยช่วงถอยกลับไปเล่นเกมรับในตอนที่ อิปสวิช ใช้เกมสวนกลับเร็ว
แต่เกมกับ เบรนท์ฟอร์ด เขาดูต่างออกไป
จุดยืนของ กราเฟนแบร์ก ตอนที่ทีมได้เล่นลูกเตะมุมครั้งแรก คือยืนลึกสุด
เขายืนต่ำกว่า แม็ก อัลลิสเตอร์ และ โดมินิค โซโบซไล ด้วยซ้ำ โดยเขายืนในตำแหน่งที่ดีเพื่อรับมือกับเกมสวนกลับเร็ว
ตอนที่ เบรนท์ฟอร์ด เคลียร์ลูกเตะมุมได้นั้น คุณจะเห็นเลยว่า กราเฟนแบร์ก อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าเดิมเพื่อที่จะช่วยเกมรับ
มันเป็นการเปลี่ยนครั้งสำคัญ และเป็นอีกหนึ่งจุดที่แสดงให้เห็นว่า กราเฟนแบร์ก กำลังพัฒนาได้ดีแค่ไหนในช่วงต้น ๆ ของยุค อาร์เน่อ
แม้ว่าจะเป็นช่วงลองผิดลองถูกนิด ๆ ก็ตาม
Ref. The Athletic
HOSSALONSO