เชื่อว่ามีคนคิดถึง...อบราโมวิช

 เชื่อว่ามีคนคิดถึง...อบราโมวิช
(งานชิ้นนี้ผุดขึ้นในหัวสมองหลังจากได้เข้าดูเกม เชลซี v แมนฯซิตี้ แต่มากกว่านั้นก็ยังมาจากข่าวที่ออกมาในทุกๆวันถึงวิธีการบริหารทีมที่ขัดความรู้สึกอย่างแรงจากกลุ่มของท็อดด์ โบห์ลี่ย์)

บางทีก็มีเสียงตะโกนที่บ่งบอกของความคิดถึง แน่นอนว่าเมื่องลองได้เปิดบทสนทนากับกองเชียร์สิงโตสีน้ำเงินแล้วก็มักได้คำตอบในทำนองโหยหา    

มีเรื่องเล่าถึงโรมัน อบราโมวิชเอาไว้แบบนี้"เขาตอกย้ำให้สะท้านว่าโลกนี้ทุกอย่างเป็นไปได้ เขากำพร้าตั้งแต่เด็ก แม่เสียชีวิตตอนอายุแค่ขวบครึ่งส่วนคนเป็นพ่อก็ตามไปด้วยอุบัติเหตุตอนที่เขาเพิ่งสี่ขวบเศษทว่าเขาดิ้นรนต่อสู้มาตลอดจนกลายเป็นคนที่ทุกคนต้องให้การยอมรับ"    

ชายผู้ถูกที่Forbesได้ประเมินทรัพย์สินส่วนตัวตกมูลค่าถึง14.5พันล้านดอลล่าร์เป็นอีกคนที่ถือคำจำกัดความเอาไว้เฉกอีกหลายคน...ชีวิตเริ่มต้นที่คำว่าฝ่าฟัน    

แน่นอนวลี "ปากกัดตีนถีบ" ก็ไม่ได้เกินเลยสำหรับเขาซึ่งก็ต้องอาศัยวิธีการที่ขัดต่อศีลธรรมอยู่บ้างในการหาเลี้ยงชีพอาทิสมัยที่เป็นทหารก็แอบขโมยน้ำมันของส่วนกลางไปขายเพื่อหารายได้ จากนั้นตอนแต่งงานกับภรรยาคนแรก-โอลก้าก็ได้มีการเอาเงินที่พ่อตาให้เป็นของขวัญราว 2,000 ดอลล่าร์ไปลงทุนธุรกิจขายของนำเข้าและส่งออกที่ถือว่าผิดกฎหมาย    

"เขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสียมาแต่ไหนแต่ไรโดยสิ่งไหนที่หลายคนไม่กล้าทำแต่เขากล้าที่จะทำ นั่นทำให้เขาแตกต่างกว่าทุกคนและทำให้เขาเติบโตรวดเร็วเฉกทุกวันนี้"หนึ่งในเพื่อนของอบราโมวิชเคยเล่าเอาไว้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง    

ด้วยคาแรกเตอร์จุดนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เนรมิตให้เชลซี ฟุตบอล คลับกวาดไป 18 เมเจอร์โทรฟี่ตลอด 19 ปีภายใต้การปกครองบิลเลียนแนร์สายเลือดรัสเซี่ยน    

ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใดว่าชายอายุ53ไม่ใช่เป็นพวกที่หลงใหลในเกมลูกหนังแบบหัวปักหัวปำ เขาแค่ชอบและดูได้ เขาก็เพียงอยากลองมาลงทุนดูและเขาก็อยากแสวงหาความท้าทายใหม่บ้าง    

มันเริ่มที่เมืองเล็กๆชื่อว่าซิลิน่าเมื่อปี 2003 ท่ามกลางแฟนบอลประมาณหกพันคนเป็นเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกรอบคัดเลือกโดยทีมชุดนั้นมีเคลาดิโอ รานิเอรี่กุมบังเหียน นี่ถือเป็นเกมทางการนัดแรกของเชลซีภายใต้อบราโมวิชซึ่งตัวเขาเองอาจไม่ได้เดินทางไปชมถึงในสนามแต่ก็เปิดจอดูอยู่ระหว่างการล่องเรือยอร์ชไปตามทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน    

เดเมี่ยน ดัฟฟ์ที่ตอนนั้นทุ่มซื้อมาจากแบล็คเบิร์น โรเวอร์สด้วยราคา 17 ล้านปอนด์ลงประจำการทางริมเส้น ส่วนแบ็กสองฝั่งเป็นเกล็น จอห์นสันกับเวย์น  บริดจ์โดยมิดฟิลด์คู่กลางสองคนได้แก่เฌเรมี่กับฮวน เซบาสเตียน เวรอน    

ถูกต้อง ผู้เล่นหมายเลขหนึ่งของทีมชุดดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน-แลมพาร์ด    

ผลการแข่งขันเชลซีบุกเอาชนะเอ็มเอสเค ซิลิน่าของสโลวะเกียสบายแข้ง 2-0 ก่อนที่เกมนัดสองกลับมาเตะในรังตัวเองก็ถล่มไปอีก 3-0 ผ่านสู่รอบแบ่งกลุ่มตามเป้าหมาย    

อย่างไรก็ตามเวลานั้นคำถามตามริมฝีปากผู้คนมากมายก็พุ่งไปยังหัวข้อเดียวกัน"คนรวยอย่างโรมันจะหมดสนุกกับของเล่นชิ้นใหม่เมื่อไร?"    

ทว่าระยะทางพิสูจน์ม้าฉันใด กาลเวลาก็พิสูจน์คนฉันนั้น    

เขาไม่เกี่ยงงอนที่จะสนับสนุนอะคาเดมี่ย์กับทีมบอลหญิงของสโมสร    

เขาเองก็ยินดีช่วยเหลือสังคม ยกตัวอย่างช่วงโควิดระบาดอนุญาตให้ใช้โรงแรมที่ตั้งอยู่ในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ให้เป็นที่พักแก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานแพทย์    

ถูกต้องที่สุด เขาจ้างและไล่โค้ขออกนับไม่ถ้วน...    

ยูจีน เทเนนเบาม์ ผู้เป็นคนสนิททั้งในและนอกเวลางานของอบราโมวิช เขาเองก็เคยพูดถึงบิ๊กบอสตัวเองเอาไว้แบบนี้ "เขาเป็นคนที่ต้องการคำตอบในทุกเรื่อง เขาไม่ชอบรอและไม่ชอบที่จะปล่อยให้ปัญหาใดหมักหมม เขาเองกลายเป็นคนที่รักฟุตบอลหลังได้เข้ามารู้จักมันซึ่งได้ซึมซับเข้าไปในตัวเขาอย่างไม่รู้ตัว นั่นเองทำไมนี่คือกีฬาอันดับหนึ่งของโลก"

"โรมันให้ความสำคัญกับทุกอย่าง เขาไม่ได้มองแค่11ผู้เล่นในสนามแต่เขารู้ด้วยว่าโค้ชก็สำคัญ, สตาฟฟ์โค้ชก็สำคัญ, สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆก็สำคัญ, ระบบโภชนาการก็สำคัญและแฟนบอลก็สำคัญ เขาบอกกับผมว่านี่เองทำให้ฟุตบอลต่างจากทุกกีฬา"

ประโยคที่ว่า'เขาไม่ชอบรอและไม่ชอบที่จะปล่อยให้ปัญหาหมักหมม'

ย้อนไปตอนที่เข้าเทกโอเวอร์ใหม่ๆก็วางเส้นชัยไว้ว่าต้องทำทุกทางเพื่อให้อันดับในตารางเหนือกว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเพราะสมัยนั้นใครก็ตามถ้ากำราบสโมสรตราปีศาจได้ก็จะได้แชมป์    

เขาจึงไม่รีอรออนุมัติงบประมาณ โค้ชคนแรกที่ดึงเข้ามาก็โชเซ่ มูรินโญ่ซึ่งในเวลานั้นคำว่า'Special One'ใครได้ยินก็ครั่นคร้าม

ตรงไปตรงมา ผมเคยก่ายหน้าผากคิดมาตลอดว่าหากให้ต้องไปทำงานกับเจ้าของอย่างอบราโมวิชจะไปไหม? คือรู้ทั้งรู้ว่าไปแล้วได้ค่าจ้างเยอะ, อยู่ในองค์กรขนาดใหญ่, ตั้งอยู่ในทำเลทองแต่ไปแล้วก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะได้อยู่นานแค่ไหน

คุณไม่สามารถพลาดได้เลยหรือไง?

แต่สุดท้ายก็ชัดเจนแล้วว่าแนวคิดแบบอบราโมวิชนั้นถูกต้อง(ในฉบับของของเขา)โดยเฉพาะเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับกลุ่มของโบห์ลี่ย์ในนาทีนี้ คนรวยเหมือนกัน คนที่ถลุงเงินเป็นทิชชู่คล้ายกันแต่ผลที่ออกมาต่างกัน

"ผมอยากซื้อทีมฟุตบอล คุณช่วยที "น้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงด้วยความกระหายในค่ำคืนหนึ่งของเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตอนแรกมาเพียงเพราะอยากชมฟุตบอลอังกฤษทว่าด้วยแรงขับเคลื่อนของคนที่อยู่นิ่งไม่ได้จึงเอ่ยไปยังผู้สนิทที่มาด้วยกันไปอย่างนั้น

ใครจะเชื่อว่าแมตช์ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับเรอัล มาดริดเมื่อปี 2003 จะเปลี่ยนโฉมวงการลูกหนังผู้ดี มากที่สุดคือเรียกว่าพลิกประวัติศาสตร์ให้สโมสรสีน้ำเงินทีชื่อเชลซีก็ว่าได้

จากนั้นไม่กี่วัน ก็มีการนัดพบขึ้นกลางโรงแรมหรูของมหานครลอนดอน คนหนึ่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการของทีมนามว่าเทรเวอร์ เบิร์ช ส่วนอีกคนมาด้วยเสื้อเชิ๊ตสวมด้วยสูทด้านนอก เป็นคนที่ตอนนั้นแทบจะหาอิงลิชชนรู้จักน้อยมาก

"สวัสดีครับ ผมชื่อโรมัน ชื่อเต็มของผมโรมัน อบราโมวิช"ประโยคแรกของชายแปลกหน้า สำเนียงกระเดียดทางยุโรปตะวันออกเริ่มต้นแนะนำตัวตามมารยาท

"ผมมีความต้องการอยากซื้อเชลซี ฟุตบอล คลับ คงมีคนบอกคุณแล้ว เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา ผมสัญญาว่าจะทำให้ทีมของพวกคุณก้าวไปไกลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเป็นชาวรัสเซี่ยน พวกเราถ้าพูดแล้วจะต้องทำให้ได้"

เพราะมันไม่ใช่ว่าคนรวยทุกคนเข้ามาทำทีมบอลแล้วจะประสบความสำเร็จ อย่างยิ่งคนต่างชาติที่ไม่ได้มีพื้นฐานรักชอบเกมลูกหนังด้วย

อบราโมวิชเด็ดขนหน้าแข้งซื้อเชลซีด้วยวงเงิน 140 ล้านปอนด์พร้อมเคลียร์หนี้สินพะรุงพะรังจนเกลี้ยง เท่านั้นยังน้อยไปเพราะเขายังได้เซ็นเช็กอีกราว100 ล้านปอนด์ในการเสริมทัพ

ไม่ครบสองปีเต็มบริบูรณ์เลยนับจากวันที่นัดพบเบิร์ช ภาพที่แฟนลูกหนังทั่วโลกเห็นเป็นภาพจอห์น เทอร์รี่ชูถ้วยพรีเมียร์ลีกสีเงินอร่ามเหนือศีรษะท่ามกลางเสียงเขย่าลำคอจากสาวกสิงห์บลูส์ "We are the champions We are the championsssss"

กระนั้นก็ตามใช่เหตุผลแค่การสักแต่ฟาดก้อนธนบัตรเท่านั้นหรอก มันยังมีหลายเหตุการณ์ยิ่งที่สะท้อนถึงตัวตนอบราโมวิช มีบางเรื่องเช่นกันที่น้อยคนนักอาจทราบ บางทีหากพอรู้แล้วก็อาจทำให้คุณมองเขาในมุมที่ต่างออกไป

แฟร้งค์ อาร์เนเซ่นผู้เคยทำงานใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ มาหลายปีมักพร่ำพูดกับทุกคนว่าสิ่งที่คนภายนอกเห็นไม่ใช่สิ่งที่คนภายในรู้จักเจ้าของสโมสรเลย เป็นนักบริหารที่เอาแนวคิด

คอมมูนิสต์มาใช้, เป็นคนที่จิตใจเหี้ยมโหด อยากใช้ก็ใช้ อยากไล่ก็ไล่, เป็นคนบ้าอำนาจ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ฯลฯ

"นั่นไม่ใช่เลย มันเป็นเพียงภาพลักษณ์เท่านั้นจากวิธีการเติบโตของเชลซี จริงๆแล้วโรมันบ้าบอลมาก เขายังชอบที่จะเห็นดาวรุ่งฝีเท้าดีๆโผล่ขึ้นมา เขามักไปชมเกมเอฟเอ ยูธ คัพประจำ เหนืออื่นใดเขาต้องการเห็นทีมของเขาเล่นบอลเกมรุก"อดีตหัวหน้าแมวมองของเชลซีระหว่างปี 2005-2011เคยอธิบายเอาไว้

อบราโมวิช ก็ยังไม่ใช่สร้างแค่เปลือกนอก เขาควัก 30 ล้านปอนด์ออกคำสั่งให้มีการเนรมิตรสนามซ้อมแถวค็อบแฮ่มโดยย้ำว่า "ห้ามละเลยเยาวชน"เนื่องจากเขายังเชื่อในเรื่องรากฐานว่าต้องแน่น ส่วนอื่นๆถึงเจริญงอกงามได้ดั่งต้นไม้ ก็อย่างที่ปรากฎว่าเชลซีซิวเอฟเอ ยูธ คัพสี่สมัยติดต่อกัน

เขาสะท้านสิ่งนี้เต็มอกทว่าเขาเองก็ไม่อยากไปทำลายโครงสร้างของทีมที่ประสบความสำเร็จ เขามอบความไว้วางใจให้ผู้จัดการทีมทุกคนที่คัดสรรมา สำคัญที่สุดเขาเคยทำพลาดมาแล้วจึงไม่อยากไปก้าวก่ายการทำงานอีก ก็คงไม่ลืมดาวยิงสัญชาติยูเครนที่ชื่ออังเดร เชฟเชนโก้กันใช่ไหม

รานิเอรี่เคยบอกไว้ว่า"เขาไม่รู้เรื่องฟุตบอลที่แท้จริงเลย"

ว่ากันว่าอบราโมวิชจึงต้องว่าจ้างอาจารย์มาติวด้านนี้โดยตรง เขาคนนั้นนามว่าพีท เด วิสเซอร์ เป็นชาวดัตช์โดยก่อนนี้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแมวมองของพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ผลงานเอกอุคือการค้นพบโรมาริโอกับโรนัลโด้ (ออริจินั่ล) ว่ากันว่าตลอดซัมเมอร์ปี 2013-2014 ทั้งสองมักมาเจอกันโดยที่เสี่ยหมีเปิดห้องส่วนตัวเพื่อเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆของเกมลูกหนังอย่างบ้าคลั่ง

"เขาเองไม่ต้องการให้ใครครหาว่าดีแค่มีเงิน"เพื่อนสนิทของโรมันเคยเล่าเอาไว้

ดังนั้นบ่อยครั้งเราจึงเห็นภาพเขาในสนามซ้อมของเชลซีซึ่งปกติแล้วคนเป็นเจ้าของหรือประธานสโมสรไม่เคยไปกันหรอกทว่านี่คืออบราโมวิชซึ่งนอกจากไปเพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์กับบรรดาลูกน้อง ก็ยังลักลอบอาศัยเวลาตรงนั้นดูแนวทางการทำทีมของโค้ชนั้นๆ

นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนหัวไว การที่เชลซีผลัดผู้จัดการทีมราวถอดเสื้อผ้ามีที่มาที่ไปครับ เล่ากันว่ามาจากอัฟราม แกรนท์ เนื่องด้วยตอนที่แต่งตั้งให้กุมบังเหียนต่อจากมูรินโญ่ปี 2007 ก็ดันพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ได้ ดังนั้นความคิดของจึงแว่บในสมองทันที

"บางทีฟุตบอลอาจไม่ต้องการใครที่อยู่กับทีมนานๆ มันอยู่ที่ศักยภาพของนักเตะ อยู่ที่จังหวะกับโอกาสมากกว่าต่างหาก"

นั่นเองทำให้อบราโมวิชไม่เคยจะใกล้ชิดโค้ชคนไหนเป็นพิเศษ หมายถึงทุกๆคนต่อให้พาทีมได้แชมป์กี่รายการ กระทั่งโรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอผู้ทำให้ฝันของเขาเป็นจริงด้วยการเถลิงบัลลังก์ยุโรปครั้งแรกแต่ทุกคนจะมีระยะห่างกับเขาประมาณหนึ่ง เขาให้เกียรติลูกน้องทุกคนแต่จะไม่อุ้มชูเป็นเพื่อนสนิทหรือเสมือนสมาชิกในเครือญาติเด็ดขาด เนื่องจากมันจะทำให้ระบบการปกครองเสีย

"พวกเราไม่เคยเป็นเพื่อนกัน ผมไม่สามารถใช้คำนั้นได้ทว่าผมเคารพนับถือเขามากในฐานะเจ้าของทีมถึงกระนั้นเราไม่เคยสนิทสนมกันกว่านั้น"มูรินโญ่เคยพูดเอาไว้

"ไก่ป่า".......


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ไก่ป่า
เอกราช นิติสุทธิ์สกุล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport
X