จากฤดูกาล 2022-23 ที่เป็นแค่ปีกตัวทดลองของ แมนยู ก่อนสถานะจะเปลี่ยนไปเป็นหนึ่งในบุตรแห่ง เอริค เทน ฮาก เมื่อถูกส่งลงตัวจริงเป็นประจำเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
เมื่อปฏิทินลูกหนังเดินทางเข้าสู่ฤดูกาล 2024-25 เขาน่าจะกลายเป็นผู้เล่นสำคัญของปีศาจแดงแบบเต็มตัว
หลังจากถูกส่งลงสนามอย่างต่อเนื่องช่วยให้ฝีเท้าของเจ้าตัวพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด
ฤดูกาล 2022-23 ยิงได้ 3 ประตูในพรีเมียร์ลีก
พอได้ลงเล่นสม่ำเสมอขึ้นในฤดูกาล 2023-24 สถิติการส่งบอลเข้าก้นตาข่ายของวัยรุ่นอาร์เจนไตน์ เพิ่มเป็น 7 ประตูในพรีเมียร์ลีก และซัดไป 10 เม็ดนับรวมทุกรายการ
สถิติการทำแอสซิสต์ก็พุ่งทะยานขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะฤดูกาล 2022-23 "นาโช่" จ่ายให้เพื่อนยิงได้ 2 ครั้ง แต่เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ทำแอสซิสต์ในเกมลีกได้ 4 ครั้ง
แถมสถานะในนามทีมชาติช่วงต่อจากนี้ บางที อเลฮานโดร การ์นาโช่ อาจจะได้ออกสตาร์ทเป็น 11 คนแรกให้อาร์เจนติน่าอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้ โทษฐานที่ อังเคล ดิ มาเรีย ประกาศเลิกเล่นให้ทีมฟ้าขาวไปแล้ว
บางทีในฤดูกาลที่กำลังจะถึงนี้ มันจะเป็นฤดูกาลที่เปลี่ยนผ่านบทบาทในชีวิตค้าแข้งของ อเลฮานโดร การ์นาโช่ จาก “ดาวรุ่ง” ให้มุ่งสู่ระดับโลกอย่างเต็มตัว
แม้ อเลฮานโดร การ์นาโช่ จะไม่ได้มีเกมอุ่นเครื่องพรีซีซั่นกับทีม เพราะได้พักร้อนจากการไปช่วยทีมชาติ แต่เจ้าตัวก็แสดงออกถึงความปราดเปรียว วูบวาบ และมุ่งมั่นมากกว่าแนวรุกคนอื่นๆ ของทีมปีศาจแดง ในช่วง 32 นาทีสุดท้ายของเกมชิงโล่การกุศลที่ลงมาในฐานะตัวสำรอง และดูจะเป็นนักเตะที่อันตรายที่สุดในสนาม
เขาโดดเด่นกว่า อาหมัด ดิยัลโล่ ที่ออกสตาร์ทตัวจริงก่อนในตำแหน่งหน้าขวา และดูจะเป็นปีกที่น่าจะอันตรายกว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด หรือ เจดอน ซานโช่ เป็นไหนๆ
หากฤดูกาลใหม่ ดาวเตะเจ้าของเสื้อหมายเลข 17 โชว์ฟอร์มไฉไลได้ตั้งแต่ช่วงต้น มันอาจจะเป็นสัญญาณที่ดีว่าเขาจะยกระดับฟอร์มการเล่น และช่วยให้ทีมทำผลงานได้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เซ็นสัญญาคว้าตัวฟูลแบ็กในสไตล์ที่เหมาะกับปรัชญาการเล่นของ เอริค เทน ฮาก เข้ามาใหม่อย่าง นุสแซร์ มัซราวี
ที่ผ่านมา กุนซือปีศาจแดงต้องฝืนทนใช้งานแบ็กขวาที่ไม่ตรงกับสเปกของตัวเองอย่าง อารอน วาน-บิสซาก้า เป็นประจำ เนื่องจากกองหลังคนอื่นๆ มักจะบาดเจ็บกันตลอด
แต่ว่า "ไอ้แมงมุม" ก็เป็นแบ็กในสไตล์ที่ทื่อเกินกว่าจะช่วยดันไลน์เกมรุก แถมดูจะไม่ถนัดการหุบเข้าไปช่วยทำเกมด้านใน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็นแบ็กในสไตล์ Inverted Full-back
ทว่า 'ไอ้อุ๋ย' คือแบ็กสมัยใหม่ที่ เอริค เทน ฮาก ชุบเลี้ยงมากับมือตั้งแต่สมัยคุม อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม โดยเล่นเกมรุกได้ดีกว่า วาน-บิสซาก้า แน่นอน แถมยังเล่นแบ็กได้ทั้ง 2 ฝั่ง
การเปลี่ยนฟูลแบ็กจากคนเดิมที่อยู่กับทีมมาตั้งแต่สมัยที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เป็นผู้จัดการทีม มาเป็นแบ็กที่ตรงกับสไตล์ฟุตบอลของตัวเองตอนคุมอาแจ็กซ์ อาจจะหมายถึงการปลดล็อคให้นักเตะตัวรุกริมเส้นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ยิ่งปล่อยของออกมาได้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาก็เป็นได้
นอกจากนี้ จุดแข็งของ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ก็คือการยืนตำแหน่งและรอใช้สปีดวิ่งแซงกองหลังฝั่งตรงข้าม ถือว่าเข้ากับวิธีการเล่นที่เป็นทีเด็ดของทีมปีศาจแดงตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาอย่างยิ่ง นั่นก็คือใช้บอลยาวโจมตีใส่พื้นที่ด้านหลังไลน์แนวรับคู่แข่ง
เวลาที่เพื่อนร่วมทีมเห็นพื้นที่ว่างก็จะไม่มีความลังเลที่จะจ่ายขึ้นหน้าแบบตรงๆ เพื่อให้ปีกวัยยี่หมิบสปีดไปรับบอล หรือแม้กระทั่งใช้ความเร็วพาบอลไปเอง เพื่อหาจังหวะโจมตีเอง ไม่ก็เรียกฟาวล์ให้ทีมได้เปรียบ
เราจะเห็นว่า เขามีส่วนกับหลายๆ ประตูของ แมนยู มากทีเดียวเมื่อฤดูกาลที่แล้ว และเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อการคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยให้ทีมน็อคทีมใหญ่ได้ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ตกรอบบอลถ้วย
ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วเป็นต้นมา เอริค เทน ฮาก เน้นใช้งาน อเลฮานโดร การ์นาโช่ ในตำแหน่งหน้าขวา แล้ววูบวาบยิ่งกว่าตอนที่ใช้เขาเล่นตำแหน่งหน้าซ้ายในฤดูกาลก่อนหน้านั้นเสียอีก
ตอนที่เล่นหน้าซ้าย มักจะโฟกัสที่การเลี้ยงตัดเข้าใน และเสียเวลากับลูกบอลมากเกินไป แต่พอเล่นตำแหน่งหน้าขวา เจ้าตัวใช้จุดเด่นที่การพาบอลกระชากจี้ใส่คู่แข่งได้อันตรายให้เป็นประโยชน์กับทีมมากกว่า จำนวนประตูที่ทำได้ก็มากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่วินัยและความขยันในการวิ่งถอยไปช่วยเกมรับยามที่ทีมต้องป้องกันก็ทำได้ดีขึ้น
ที่เหลือแค่ต้องปรับจูนการตัดสินใจในจังหวะสำคัญให้ดีกว่านี้เท่านั้น
ไอดอลของ อเลฮานโดร การ์นาโช่ คือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และวิธีการเล่นของในตอนนี้ก็คล้ายๆ กับช่วงที่ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสค่อยๆ พัฒนาตัวเองจากดาวรุ่งไปสู่ระดับโลกที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด นั่นก็คือปีกขวาแบบที่พุ่งเข้าหาประตูเป็นหลัก และเป็นศูนย์กลางในการพาบอลทำเกมบุกขึ้นไปเอง
หาก อเลฮานโดร การ์นาโช่ มีความเจนจัดมากขึ้น
ในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะมาถึง เราน่าจะได้เห็นเพื่อนร่วมทีมฝากบอลไว้กับเขามากกว่าที่ผ่านมา และอาจจะมีบทบาทกับการช่วยทีมได้ประตูเพิ่มขึ้น
ย้อนกลับไปตอนที่ "ไอ้เจ๊ตเข้" เอ๊ย "ไอเจ๊ตโด้" ยังเป็นปีกดาวรุ่งจอมสับสยองโลกของ แมนยูไนเต็ด ฤดูกาลแรกที่สตาร์ทีมชาติโปรตุเกสยิงได้เกิน 10 ประตูรวมทุกรายการ ก็คือซีซั่นที่ 3 ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด (2005-06) ที่กดไป 12 ประตูรวมทุกรายการ
แล้วหลังจากนั้น CR7 ก็สถาปนาตัวเองกลายเป็นดาวเตะระดับโลกและดาวอังคารอย่างเต็มตัว
อืมมมมมมม...นะ