เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...
1 หลังลาออกจากตำแหน่ง 'เฮดโค้ช' ของ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น - รุด ฟาน นิสเตลรอย ว่างงานได้ไม่นานก็มีข่าวกับ 2 สโมสรในเมืองหลวงลูกหนัง
หนึ่งไปคุม เบิร์นลี่ย์ ในลีกแชมเปี้ยนชิพแทนที่ แว็งซองต์ ก็องปานี
หนึ่งหวนคืนสโมสรเก่าอย่าง แมนยู ในฐานะสต๊าฟฟ์โค้ชของ เอริค เทน ฮาก
2.สมัยสวมเครื่องแบบปีศาจแดง 'พี่ม้า' คือสุดยอดกองหน้าคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ด้วยการตะบันไปถึง 150 ประตู
นอกจากนี้ยังเคยเป็นทั้งดาวซัลโว และนักเตะยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก โดยขับเคี่ยวกับ เธียร์รี่ อองรี ของ อาร์เซน่อล อย่างเมามัน
น่าเสียดายที่ความสำเร็จถือว่าน้อยไปหน่อย เพราะได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแค่สมัยเดียวเท่านั้นเอง
3. ตอนแยกทางกับ แมนยู ก็ไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่ เพราะมีปัญหากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ครั้งหนึ่งในการฝึกซ้อม ดาวยิงร้อยแรงอาชาเคยถามดาวรุ่งจอมสับแบบตรงๆ ว่า...
'เมื่อไหร่ มึงจะส่งบอลให้ผมสักทีครับ...อส'
หลังบาดหมางกัน ปรากฏว่าป๋าเลือกพี่โด้
RVN ถูกดร็อปในนัดชิงฯ ลีก คัพ 2006 โดยไม่ได้ลงเล่นสักนาที ก่อนถูกเนรเทศไปอยู่กับ เรอัล มาดริด
หลังเวลาทำให้คลื่นลมสงบ เขาสำนึกผิด และกลับมาขอโทษ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พลางดูดปากกันเรียบร้อย
4. รุด ฟาน นิสเตลรอย เป็นหัวหอกประเภทชายเดี่ยวที่เหมาะกับระบบ 4-5-1 ซึ่งท่านพระยาหมื่นลูกหนังปรับเปลี่ยนให้ปีศาจแดงในปี 2001 มาก
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญการทำลายตาข่ายในกรอบเขตโทษที่เด็ดขาด และเฉียบคมมาก แม้ตลอดการค้าแข้งให้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะยิงจากนอกกรอบเขตโทษได้เพียงประตูเดียวก็ตาม
ฉะนั้น & ฉะนี้
ถ้าเอา "พี่ม้า" มาเป็นโค้ชกองหน้า รับรองได้ว่ากองหน้าอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ หรือ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะถล่มประตูได้เก่งขึ้นแน่ๆ
5. อย่างไรก็ตาม
ผมไม่ค่อยอยากเชื่อว่า รุด ฟาน นิสเตยรอย บนวัย 47 จะยอมลดระดับตัวเองจาก "โค้ชใหญ่" มาเหลือเพียง "สต๊าฟฟ์โค้ช"
แม้น เบิร์นลี่ย์ จะเป็นทีมเล็กๆ แถมอยู่ในลีกรอง แต่มันก็น่าท้าทายสำหรับพี่ม้ามากกว่า