1 ประหม่า? ตื่นเต้น? กังวล?
ถ้าเป็นกับทีมอื่นก็คงต้องมีผสมกันไปบ้างกับวันสุดท้ายที่ตัดสินตำแหน่งแชมป์ แต่สำหรับพวกเขาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักจึงดูคล้ายว่าก็เป็นอีกเกมธรรมดาทั่วไป
แค่ 72 วินาทีของเกมเท่านั้นเสียงเฮก็ดังขึ้น อีกลูกจาก ฟิล โฟเด้น อีกประตูสุดสวยจากเด็กท้องถิ่นที่เชียร์ แมนฯ ซิตี้ มาตั้งแต่จำความได้แ ละอีกครั้งที่ใครก็เดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปกับช่วงเวลาที่เหลืออยู่อีกเกือบเต็มเกม
ไม่จำเป็นต้องสนใจสกอร์จาก เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม (แม้ว่าตอน เอฟเวอร์ตัน ขึ้นนำช่วงสั้นๆ ก็มีการดีใจจากแฟนบอลเจ้าถิ่นออกมา)
ความจริงจะว่าไม่มีอาการประหม่าเลยก็ใช่จะถูก เพราะลูกตีลังการยิงจาก โมฮาเหม็ด คูดุส ท้ายครึ่งแรกให้สกอร์ของเวสต์แฮมไล่มา 1-2 ก็สังเกตได้ว่าบรรยากาศเปลี่ยนไป จากใบหน้าที่มั่นใจรอแค่เกมจบกลายเป็นสั่นเกร็ง
ใช่ ในโลกของฟุตบอลอะไรก็เป็นไปได้ สิ่งนี้เราพบเห็นมาตลอด
นั่นทำให้ในที่สุดสถิติที่ยืนยงมา 136 ปี ก็ต้องพังลง มีคนทำได้แล้ว มีทีมทำสำเร็จแล้วกับการครองแชมป์ลีกสูงสุดสี่สมัยติดต่อกัน
"Champions Again Champions Again" กระหึ่มต่อเนื่อง
2 แม้ว่าจะมีการประกาศเตือนแล้ว แต่สุดท้ายจะห้ามอย่างไรไหว แฟนบอลซิตี้หลายพันชีวิตต่างวิ่งกรูลงสนามทันทีเสียงนกหวีดยาวดัง ตอนนั้นพวกนักเตะสองทีมก็ต้องเข้าไปหลบในห้องแต่งตัว โดยต้องรอเคลียร์พื้นที่ก่อนพิธีการมอบถ้วยถึงทำได้
พิธีการก็ไม่ได้ต่างจากทุกครั้งก่อนหน้านี้ มีการให้เกียรติทีมงานเบื้องหลังทุกคนให้เดินออกมาก่อนโดยกลุ่มนี้ก็ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ดูแลหญ้าสนามไปจนถึงทีมวิเคราะห์ข้อมูล จากนั้นก็ตามด้วยทีมสตาฟฟ์โค้ชและปิดท้ายด้วย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ชูมือขึ้นฟ้านำลูกทีมออกจากอุโมงค์
ผมรู้ว่าต้องมีคนมองว่าพวกเขาเป็นแชมป์ที่ไม่คู่ควร
ถูกต้องว่า 115 ข้อหาที่ถูกพาดพิงนั้นยังคงเหมือนชนักติดหลัง ตราบใดยังไม่มีการพิสูจน์ว่าบริสุทธิ์ก็ย่อมยากให้ทุกคนค้อมหัวอย่างศิโรราบ
อีกนั่นแหละก็ตามที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้วันก่อนถึงเป๊ป "เขาคือโค้ชที่เก่งสุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทีมของเขาอาจมีเงินใช้เยอะแต่ถ้าไม่ใช่เขาแล้วก็ไม่มีทางที่ซิตี้จะทำได้อย่างนี้..."
ทุกความสำเร็จมีเบื้องหลังที่น่าสนใจเสมอ
การที่จะกล่าวหาว่าความยิ่งใหญ่ของสโมสรตราเรือมาจากอำนาจของฟ่อนธนบัตรล้วนๆก็ดูอคติเกินไปหน่อย ยกตัวอย่างเลยฮีโร่ของเกมเมื่อวันอาทิตย์-ฟิล โฟเด้น เป็นผลผลิตจากอะคาเดมี่ย์ ซีซั่นนี้เรียกได้เลยว่าเป็นตัวที่แบกทีมไว้ ไม่เกินเลยที่จะบอกว่าโดดเด่นกว่า เควิน เดอ บรอยน์ ด้วยซ้ำ
รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีกับจำนวน 27ประตูที่ทำได้ทุกรายการการันตีว่าสโมสรสีฟ้าแห่ง แมนเชสเตอร์ ให้ความสำคัญกับเมล็ดพันธุ์ในแปลงนาเหมือนกัน
อีกอย่างมันก็ไม่ได้อยู่แค่การใช้เงินแน่
ถ้าจริงป่านนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด หรือ เชลซี ก็ควรจะได้เขย่าโทรฟี่ อย่างน้อยก็ต้องได้ลุ้นแบบที่ อาร์เซน่อล หรือ ลิเวอร์พูล ทำได้
เปล่าเลย ความอัจฉริยะของ เป๊ป ต่างหากที่ส่งผลให้ แมนฯ ซิตี้ ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ ก็ดู ยอสโก้ กวาร์ดิโอล ซิครับ ทุกวันนี้ยกระดับขึ้นมาแค่ไหน แน่นอนเขาน่าจับตาตั้งแต่เวิล์ด คัพที่กาตาร์ กับทีมชาติโครเอเชีย แต่นั่นกับตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟ
"โนวๆ ยอสโก้มีความสามารถเล่นได้มากกว่านั้น" คำพูดของ เป๊ป ถึงลูกน้องที่ย้ายมาด้วยค่าตัว 77 ล้านตอนซัมเมอร์
รอบสองเดือนมานี้ กวาร์ดิโอล โชว์ถึงพัฒนาการหลังจากได้ทำงานร่วมกับเป๊ปโดยยิงไป 5 ลูกจาก 7 เกมโดยเขาเองก็ไม่เคยมีสกอร์เยอะเท่านี้มาก่อน
นี่คือแบ็กซ้ายตัวใหม่ของซิตี้
นี่คืออีกตัวอย่างว่าทำไม เป๊ป ถึงคิดไม่เหมือนชาวบ้าน
ตลอดฤดูกาลอันยาวนานก็ต้องคอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตลอด สภาพทีมที่เต็มด้วยตัวบาดเจ็บโดยอย่างยิ่ง เดอ บรอยน์ กับ เอร์ลิ่ง ฮาลันด์ ที่ต่างหายหน้าจากทีมไปนาน มันไม่ได้ง่ายเลยที่ต้องไร้สองสตาร์ตัวหลักไป
ไหนจะ จอห์น สโตนส์ ที่แทบไม่เคยฟิตเต็มร้อยเลย ไหนจะ แจ็ค กรีลิช ที่ฟอร์มตกอย่างฉับพลัน ไหนจะแรงกดดันจะภายนอกที่ถาโถมเข้ามา
"ตามความคิดของทุกๆคนก็มักคิดว่าพวกเราต้องชนะได้ทุกเกมที่ลงสนาม นั่นเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด ถ้ามันง่ายแบบนั้นแล้ว ลิเวอร์พูล ยุค80 แมนฯยูไนเต็ด ยุค เซอร์ อเล็กซ์ หรือว่า เชลซี ที่มี โรมัน อบราโมวิช เป็นเจ้าของก็ควรจะได้แชมป์สี่สมัยติดได้"
ตลอด 38 เกมมานี้เป๊ปใช้แผนการเล่นไปหลายแผน ตั้งแต่ 4-3-3, 4-1-4-1, 4-2-3-1 จนถึง 4-4-2 โดยทุกอย่างขึ้นกับนักเตะที่มีให้เลือกและคู่แข่งที่เผชิญหน้า
กระนั้นก็ตามจุดแข็งที่สุดของ แมนฯ ซิตี้ ก็อยู่ตรงพวกเขาทนแรงเสียดทานได้ยอดเยี่ยม ยิ่งยามใดก็ตามพวกเขาได้โอกาสกุมความได้เปรียบในตารางแล้ว
นับจากความพ่ายแพ้ให้ แอสตัน วิลล่า วันที่ 6 ธันวาคมปีก่อนเป็นต้นมา ผลงานของทีมเป๊ปก็เขียนได้ว่าชนะ 19 กับเสมอ 4
"เราไม่เคยคิดว่า ลิเวอร์พูล จะแพ้คารังให้ คริสตัล พาเลซ รวมถึงไม่กี่ชั่วโมงถัดมาอาร์เซน่อลก็แพ้ให้ วิลล่า ในบ้านเช่นกัน นั่นทำให้พวกเราเชื่อว่าโอกาสมาถึงแล้ว โอกาสนี้อาจมีแค่ครั้งเดียว เราต้องคว้ามันเอาไว้"
3 ผมเคยตั้งสมมติฐานว่าการเหมาสามถ้วยใหญ่ของ แมนฯ ซิตี้ ซีซั่นที่แล้วจะทำให้พวกเขาหมดแพสชั่นไปหรือเปล่า หมายถึงจะหลงเหลือความท้าทายใดๆอีกเนื่องจาก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่หวังไว้มากก็ทำได้แล้ว
แต่โบราณมีสำนวนหนึ่งที่มักได้ยินเสมอ "เป็นแชมป์ว่ายากแล้วแต่ป้องกันยากกว่า"
มันก็น่าทึ่งที่พวกเขาคงทำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งกับหนนี้ที่อาจจะกล่าวได้ว่ายากที่สุดในหลายแง่โดยโค้ชอย่าง เป๊ป เองก็สะท้านถึงข้อนี้ดีจึงได้ปลุกใจลูกทีมตั้งแต่ตอนเข้าแค้มป์ปรีซีซั่น เขาได้วาดรูปภูเขาหลายลูกวางติดกัน บนยอดนั้นก็มีโทรฟี่ที่ซิตี้ทำมาได้วางบนยอด
"โอเค พวกเราได้เดินข้ามเขาสำเร็จแต่นับจากนี้งานของเราจะหนักขึ้น มันเหมือนว่าเราต้องเดินข้ามเขาโดยมีถุงทรายติดไว้ที่ขา"
วิเคราะห์คู่แข่งสองทีมที่มาท้าชิงเข็มขัดก็ล้วนดูจะมีแรงกระตุ้นมากกว่า
ลิเวอร์พูล...ทำเพื่อ คล็อปป์ ที่กำลังลาทีม
อาร์เซน่อล...ทีมที่หิวกระหายร้างราแชมป์ลีกมาสองทศวรรษ
แต่บางทีคนเราก็ต้องการคู่ต่อสู้ที่ทำให้พลังงานในตัวไหลเวียนเป็นสองเท่า ยิ่งกับโค้ชบ้าๆที่ชื่อ เป๊ป ด้วยแล้ว เขาไม่เคยมีคำว่าหยุดนิ่งหรือพอเพียง เขาต้องการให้ทีมทะยานไปข้างหน้าต่อเนื่อง เขาปรารถนาให้ลูกทีมพัฒนาตัวเองไปอีกขั้นและอีกระดับ
ฮาลันด์ จะต้องไม่ใช่แค่เครื่องจักรถล่มตาข่าย
เดอ บรอยน์ก็ต้องไม่ใช่แค่ตัวแอสซิสต์
โฟเด้นก็ต้องไม่ยึดติดกับตำแหน่งริมเส้น
ไคล วอล์คเกอร์ ก็ต้องเป็นอะไรที่มากกว่าฟูลแบ็กที่มีความเร็ว
มานูเอล อคานจี จึงผันบทบาทเป็นมิดฟิลด์ตัวพิเศษได้พอทีมได้ครองบอล
เราเห็นไอเดียใหม่ๆเสมอจาก เป๊ป มันก็ไม่ใช่แค่ส่งผลดีต่อ แมนฯ ซิตี้ แต่ยังกลายเป็นต้นแบบให้ทีมอื่นทำตาม เป็นยุคสมัยของฟุตบอลที่ใครต่อใครก็เซตบอลขึ้นจากหลัง
กระถางไฟถูกจุดท่ามกลางเสียงโห่ร้องฉลองแชมป์ไปทั่วสนาม
นึกย้อนไปตอนที่เป๊ปลากกระเป๋าเข้ามาสู่บอลอังกฤษ ผ่านมาถึงนาทีนี้ไม่ใช่แค่จำนวนถ้วยรางวัลแน่นอนที่เขาได้ทำเอาไว้
"ไก่ป่า"