ลิเวอร์พูล ทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องลุ้นน้ำลายเหนียวคอกว่าจะดับซ่า เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 3-1 ที่สนามแอนฟิลด์ ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา โดยเกมนี้ ดาร์วิน นูนเญซ แสดงให้เห็นแล้วว่าความขยันไม่เคยทำร้ายใคร และยังให้ผลดีเมื่อช่วยทีมขึ้นนำไปก่อน แต่สิ่งที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องปรับแก้นั่นก็คือการเล่นเกมรับโดยเฉพาะช่วงต้นเกมที่เกือบเสียประตู เพราะหากไม่มีการแก้ไขอาจส่งผลเสียต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกก็ได้ ขณะที่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ยิ่งเล่นยิ่งแสดงให้เห็นถึงการเป็นคีย์แมนของทีม และยังโดดเด่นทั้งเกมรับ และเกมรุก ที่สำคัญจังหวะยิงไปสุดเฉียบคมราวกระสุนปืนใหญ่เป็นสิ่งที่ "หงส์แดง" ขาดหายไปนานนับตั้งแต่หมดยุค สตีเว่น เจอร์ราร์ด
1. มหัศจรรย์ "แม็คก้า"
ตอนนี้ถ้าจะถามว่าใครคือผู้เล่นที่ท็อปฟอร์มที่สุดของ ลิเวอร์พูล คงหนีไม่พ้น อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ หลังสร้างผลงานดีมีคุณภาพทั้งการเล่นเกมรับและรุกช่วยให้ "หงส์แดง" สามารถคว้าสามคะแนนสำคัญได้สำเร็จ
"แม็คก้า" กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มพีคสุดขีดในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา หลังถูกจับไปยืนในตำแหน่งถนัด แต่เกมปะทะ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด นั้น คล็อปป์ จำเป็นต้องพัก วาตารุ เอ็นโด ที่ไม่ฟิตเต็มร้อย และจับ สตาร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า ลงไปยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ
แม็ค อัลลิสเตอร์ โชว์ให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในการคุมพื้นที่แดนกลาง มีหลายจังหวะที่ตัดแย่งบอล และตัดเกมไม่ให้ "ดาบคู่" ได้บุกเข้ามาโจมตีพื้นที่สุดท้าย ขณะเดียวกันก็ยังหาจังหวะในการผ่านบอลสวยๆ รวมทั้งคอยดักยิงประตูจากแถวสอง
ที่สำคัญในช่วงที่ "เดอะ เร้ดส์" กำลังอยู่ในอาการตื้อจากการที่ไม่สามารถเจาะแนวรับรถบัสของทีมเยือนได้ ดาวเตะแชมป์โลก จัดการตะบันไกลสุดสวยส่งบอลเสียบสามเหลี่ยมทำให้ทีมขึ้นนำ 2-1 และนั่นเป็นประตูที่ทำให้ทีมกลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง
จากการยิงประตูที่หนักแน่น เฉียบคม, แม่นยำ และรุนแรงราวกับระเบิดซีโฟร์ เชื่อว่าสาวก "เดอะ ค็อป" ทั่วโลกคงนึกถึงการตะบันไกลของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกัปตันทีม แน่นอน
2. ปัญหาแนวรับช่วงต้นเกม
หนึ่งในสิ่งที่ คล็อปป์ ต้องรีบแก้ปัญหาก็คือการเสียสมาธิในเกมรับช่วงต้นเกม โดยพวกเขาเคยโดนทีเด็ด ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ซัดประตูขึ้นนำมาแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งเล่นไปแค่ 90 วินาทีเท่านั้น
สำหรับเกมนี้แฟนบอล "หงส์แดง" เกือบโดนอาคันตุกะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายทั้งๆ ที่เกมเพิ่งเริ่มเล่นแค่ 33 วินาที ! เมื่อ เจมส์ แม็คเคที ได้โอกาสซัดโล่งๆ ที่เสาไกลแต่ ควีวิน เคลเลเฮอร์ โชว์ซูเปอร์เซฟป้องกันได้อย่างหวุดหวิด
ขณะเดียวกันในจังหวะต่อเนื่องที่ได้เตะมุม เชฟฯ ยูฯ ก็เกือบได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจาก เบน เบรเรตัน ดิอาซ ต้องบอกว่าถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ ที่เจ้าบ้านไม่เสียประตู แต่ในขณะเดียวกันนี่คือสิ่งที่ "บอส" ต้องรีบแก้ไขเป็นการด่วน
ที่สำคัญในเกมต้องไปเยือน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด "หงส์แดง" จะมาเสียสมาธิตั้งแต่ต้นเกมแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะ "ผีแดง" มีแนวรุกที่อันตรายกว่า "เดอะ เบลด" หลายเท่า และถ้าโดนนำไปก่อน งานนี้อาจจะมีเสียน้ำตาอีกรอบ หลังโดนมาแล้วในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย
3. ความขยันไม่เคยทำร้ายใคร-เกมรุกขาดความเฉียบคม
สิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูลประทับใจในตัวของ ดาร์วิน นูนเญซ ก็คือความทุ่มเท และความขยัน โดยเจ้าตัวถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่วิ่งพล่านไปทั่วในแดนหน้า และมักจะใช้ความเร็วให้เกิดประโยชน์เวลาวิ่งไล่บอลจากกองหลัง หรือผู้รักษาประตูคู่แข่ง
จังหวะที่ได้ประตูขึ้นนำต้องยกเครดิตให้กับ "น้องนูน" อย่างแท้จริง เพราะเขาไม่เคยหยุดที่จะยิงเข้าไปกดดัน อีโว เกอร์บิช นายทวารทีมเยือน ก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อ โกล "ดาบคู่" ดันซัดไปติดขา สตาร์ทีมชาติอุรุกวัย เข้าไปประตูไป
ก่อนหน้าที่จะทำประตูได้ นูนเญซ ก็แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นในเรื่องสปีดต้นของเขามาแล้ว จากการวิ่งแซงหน้ากองหลังคู่แข่ง และเปิดบอลเข้ากลาง แต่น่าเสียดายที่ หลุยส์ ดิอาซ เข้าบอลไม่ถึงไม่อย่างนั้นสกอร์อาจจะขึ้นนำไปแล้วก็ได้
ต้องบอกเลยว่านี่คือสิ่งที่ คล็อปป์ อยากเห็นลูกทีมทุกคนทำนั่นก็คือการแย่งบอลกลับมาให้เร็วที่สุด และแมตช์นี้ไม่ใช่แค่ นูนเญซ เท่านั้นที่แสดงให้เห็นสิ่งนี้ เพราะผู้เล่นทุกคนของ ลิเวอร์พูล วิ่งไล่เพรสซิ่ง เชฟฯ ยูฯ จนแทบเปิดตำราตั้งเกมรับไม่ทัน
อีกหนึ่งปัญหาที่ กุนซือชาวเยอรมัน ต้องปรับแก้ก็คือการจบสกอร์ให้เฉียบคม เพราะทีมครองเกมได้เหนือกว่าคู่แข่งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีจังหวะยิงประตูมากมาย แต่เมื่อเข้าไปพื้นที่สุดท้ายดันไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นประตูได้ ดังนั้นหากทีมต้องการประตูได้เสียมากกขึ้น การจบสกอร์ต้องเด็ดขาดยิ่งกว่านี้
4. ซาลาห์เหงา-กราเฟนแบร์กเงียบ
ถ้าจะหาผู้เล่นที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังในแมตช์นี้ก็คือหนีไม่พ้น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เพราะทั้งคู่แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรทีมเลย แถมบางจังหวะยังทำให้โอกาสที่น่าจะได้ประตูหลุดลอยไป
ต้องเข้าใจว่า "บังโม" โดนผู้เล่นเกมรับของ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด จับตาย และไม่เปิดช่องว่างให้ได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ แต่ในบางจังหวะ ซาลาห์ ก็มีโอกาสที่จะยิงประตูหรือส่งบอลให้เพื่อน แต่กลับทำไม่ได้ และบางครั้งก็ตัดสินใจผิดพลาดจนทำให้ทีมเสียโอกาสไป
ขณะที่ กราเฟนแบร์ก แทบไม่ได้ช่วยแดนกลาง แถมมีโอกาสได้ยิงประตูแต่ดันยิงแป๊ก หรือตัดสินใจไม่ดี แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ คล็อปป์ จำเป็นต้องปลุกเร้า ดาวเตะชาวดัตช์ ให้กลับมามีความเชื่อมั่นอีกครั้ง
ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ "บอส" เลือกที่จะเปลี่ยน ซาลาห์ และ กราเฟนแบร์ก ออกในช่วงครึ่งหลัง เพราะมองแล้วทั้งสองคนคงไม่สามารถช่วยปั้นเกมให้ทีมได้ และนั่นคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลังจากนั้น "หงส์แดง" ก็กลับมาสร้างโอกาสได้มากขึ้นอีกครั้ง และในที่สุดก็ได้ประตูอย่างที่ต้องการ
5. แดงเดือดสุดสำคัญ
การคว้าสามคะแนนทำให้ ลิเวอร์พูล กลับคืนมาเป็นจ่าฝูงอีกครั้ง และในแมตช์ต่อไปถือว่ามีความหมายอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาต้องยกพลไปเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ช่วงสุดสัปดาห์นี้
"เดอะ เร้ดส์" เพิ่งจะโดนฝังรอยแค้นจากการโดน "ผีแดง" เขี่ยตกรอบ เอฟเอ คัพ เมื่อช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา และแน่นอนว่าพวกเขาต้องการที่จะเอาคืนคู่อริตลอดกาล เพราะชัยชนะมันไม่เพียงแค่ได้สามแต้มเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ แมนฯ ยูฯ จะทำผลงานไม่ค่อยดีนักในลีกโดย 5 แมตช์หลังสุดชนะ 1 เสมอ 1 และแพ้ 3 แมตช์ แถมสองเกมล่าสุดก็โดนยิงช่วยนาทีสุดท้าย (เสมอ เบรนท์ฟอร์ด 1-1 และแพ้ เชลซี 3-4) แต่การรับมือ "หงส์แดง" เป็นศึกศักดิ์ศรีที่ยอมไม่ได้เด็ดขาด
เอริค เทน ฮาก คงกระตุ้นลูกทีมให้สู้ถวายหัวเพื่อหยุดโอกาสคว้าแชมป์ลีกของ ลิเวอร์พูล ให้ได้ และเรียกศรัทธาคืนจากสาวก "เร้ด อาร์มี่" ขณะที่ คล็อปป์ ก็พร้อมปลุกใจทัพ "หงส์แดง" ให้จัดการทุบเจ้าบ้านเพื่อคว้าชัยชนะที่สำคัญ
อย่าลืมว่าถ้าหาก ลิเวอร์พูล สามารถคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้ นั่นจะทำให้พวกเขาสะสมแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีเป็น 20 สมัยเท่ากับ แมนฯ ยูฯ และนี่คือสิ่งที่แฟนผีโปรเจกต์ไม่อยากเห็นเด็ดขาด !!!
ทอมเม้ง