ช่วงที่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เป็นข่าวกับลิเวอร์พูลแรง ๆ มีบทวิเคราะห์หลายชิ้นพูดถึงกองกลางไบรท์ตันเอาไว้ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนที่ลิเวอร์พูลต้องการ
เพรสซิ่งดี เอาตัวรอดได้ แย่งบอลเก่ง ฉลาด มีบอลขึ้นหน้าเป็นอาวุธทั้งการพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ช่วยเกมรุกหรือทำประตูได้ รวมทั้งการปล่อยบอลที่มีประสิทธิภาพ
สถิติส่วนตัวโดดเด่นทั้งเกมรับและเกมรุก
เราได้เห็นมันทั้งหมดในเกมเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นเกมที่ดีที่สุดหรืออย่างน้อยก็หนึ่งในเกมที่ดีที่สุดของกองกลางทีมชาติอาร์เจนติน่าในชุดหงส์แดง
คว้าแมนออฟเดอะแมตช์ไปครองจากทุกสำนัก
ใครที่ได้ดูเกมตลอด 90 นาทีคงเห็นคล้าย ๆ กันนะครับว่า แม็ค อัลลิสเตอร์ เล่นได้ดีจริง ๆ เยือกเย็น ไม่ตื่นเต้น ควบคุมสถานการณ์ได้ และการปล่อยบอลที่ราวกับกำลังแสดงโชว์ดี ๆ ให้คนดูได้ทึ่ง
บอลขึ้นหน้าของเขาสร้างโอกาสให้ทีมตลอดเวลา ทั้งแม่นยำและอันตรายด้วยทิศทางของมันพุ่งเข้าหาประตู น้ำหนักเป๊ะราวกับเอามือประคองบอลไปบรรจงวางให้เพื่อน
หลังจากที่เริ่มปรับตัวเข้ากับรูปแบบการเล่นของทีมได้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ก็ปล่อยคุณภาพของตัวเองออกมาเรื่อย ๆ จนเมื่อมารู้ตัวอีกทีก็เป็นหนึ่งในกองกลางที่ผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในลีกไปแล้ว ฟอร์มของเขาตอนนี้หยุดไม่อยู่จริง ๆ
การให้บอลของแม็ค อัลลิสเตอร์ นำมาซึ่งประตูชัยของลิเวอร์พูลในครึ่งหลังจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และยังมีอีกหลายครั้งที่บอลจากเท้าของเขาสร้างโอกาสทำประตูให้ทีมในทันทีโดยเฉพาะการวางบอลข้ามแนวกองหลัง
แม็คก้ากำลังเล่นฟุตบอลอย่างมั่นใจ
ในความกดดันที่ถาโถม เกมบังคับที่ต้องสามคะแนนเท่านั้นไม่มีทางเลือกอื่นและต้องเจอกับคู่แข่งที่อันตราย แม็ค อัลลิสเตอร์รับมือกับอุปสรรคเหล่านั้นได้ดี สำนักข่าวหลายแห่งให้คะแนนความสามารถเขาไม่ต่ำกว่า 9 เต็ม 10
การขยับเข้าพื้นที่รับบอลจาก โดมินิก โซโบซไล ที่ฉีกไปเอาบอลทางริมเส้นฝั่งขวาทำให้ผู้เล่นไบรท์ตันรับมือไม่ทัน เช่นเดียวกับการผ่านบอลทะลุช่องให้ ซาลาห์ ที่ย่องมารับบอลตรงพื้นที่ว่างในเขตโทษก่อนสับไกยิงเน้น ๆ เข้าเสาไกล
มันคือการสร้างโอกาสที่สมบูรณ์แบบของลิเวอร์พูล โซโบ-แม็คก้า-จบที่ซาลาห์
เจอไบรท์ตันเกมนี้ไม่ใช่งานง่าย ด้วยแรงกดดันก่อนเกมมหาศาล การที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ อาร์เซน่อล มีโปรแกรมตัดแต้มกันเองทำให้ลิเวอร์พูลที่ลงสนามก่อนควรเก็บสามคะแนนให้ได้เพื่อฉวยกำไรแน่ ๆ ไว้ในมือ
แต่ไบรท์ตันเป็นทีมชั้นดี ดีทั้งผู้เล่น ดีทั้งผู้จัดการทีมที่เป็นหนึ่งในตัวเต็งเข้ามารับงานต่อจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ อีกทั้งสถิติการพบกันในช่วงหลังลิเวอร์พูลยังเป็นรองเดอะซีกัลล์ส เมื่อเอาชนะไม่ได้มา 4 เกมติดต่อกันแล้ว แถมเล่นในแอนฟิลด์ 3 ครั้งหลังสุดก็ยังเข่นอาคันตุกะจากแดนใต้ไม่ลง
ไม่เพียงเท่านั้นมันยังเป็นโปรแกรมเตะหลังเกมทีมชาติ การหายจากเกมลีกมาเกือบ 2 สัปดาห์ทำให้ต้องปรับจูนเครื่องกันใหม่อยู่เหมือนกัน แม้อีกฝ่ายจะต้องเจอกับเงื่อนไขเดียวกันก็จริงแต่ด้วยโจทย์ที่ต้องชนะเท่านั้นเงื่อนไขนี้จึงกระทบลิเวอร์พูลมากกว่า
เรามองเห็นความเกร็งในทีมลิเวอร์พูลอยู่เหมือนกันนะครับ หลาย ๆ จังหวะผ่านบอลกันขาด ๆ เกิน ๆ การประสานงานในแดนหน้ายิ่งหายไปเลย
ซาลาห์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ แทบไม่ได้ส่งบอลให้กัน มีโอกาสทองก็ยังคร่อมจังหวะกันตอนที่ซาลาห์หลุดเข้าเขตโทษทางขวา กำลังจะไหลให้ดาร์วินพุ่งเข้ายิงในกรอบ 6 หลากลางประตูอยู่แล้วแต่หัวหอกอุรุกวัยกลับเลือกชะลอ ถอนตัวเองมารับบอล โอกาสจึงหลุดลอยไป ส่วน หลุยส์ ดิอาซ ก็ฉายเดี่ยวมากเป็นพิเศษ
ซาลาห์ดูโรยไปจากที่เคยในครึ่งแรก จังหวะที่เคยชัวร์กลับไม่ชัวร์ การเล่นที่เคยแน่นอนก็กลายเป็นไม่แน่นอน มีความรีบร้อนในจังหวะสุดท้ายที่ทำให้บอลไม่สมบูรณ์อย่างที่เคยเป็นตัวเขา
กระนั้นประตูตีเสมอ 1-1 ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากเขาที่โถมเข้าโหม่งบอลสวนกลับเข้าไปในเขตโทษก่อนที่ ดิอาซ จะพุ่งชาร์จตุงตาข่าย และเมื่อได้ตั้งหลักกันใหม่ในช่วงพักครึ่ง ซาลาห์ก็กลับมาเล่นในครึ่งหลังด้วยจังหวะที่ดีขึ้น
การเป็นคนทำประตูชัย 2-1 ยืนยันกับเราอีกครั้งว่าในท้ายที่สุดแล้ว ซาลาห์ก็ยังเป็นคนที่ทีมสามารถมอบความไว้วางใจได้มากที่สุดอยู่ดี
เกมนี้ไบรท์ตันเองก็วางแผนการเล่นมาพร้อม อดทนและมีวินัยในเกมรับ ไม่เปิดหน้าแลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฉวยโอกาสทำประตูขึ้นนำได้ก่อนอย่างรวดเร็วตั้งแต่นาทีที่ 2
ทีมของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงแลก แต่อาศัยการช่วยกันเล่นอย่างแน่นหนาในแดนตัวเอง พุ่งเข้าถึงตัวทันทีที่บอลข้ามเส้นครึ่งสนามเข้ามา และเมื่อแย่งบอลได้หรือเก็บตกบอลจังหวะสองได้ก็เล็งโจมตีพื้นที่ว่างที่ลิเวอร์พูลเปิดให้
ตำแหน่งแบ๊กขวาของ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ คือจุดยุทธศาสตร์ที่ไบรท์ตันเล็งไว้ เพราะวิธีการเล่นของแบร๊ดลี่ย์ทำให้มันต้องเป็นอย่างนั้น
แบ๊กขวาดาวรุ่งชาวไอร์แลนด์เหนือเติมเกมบุกแบบสุดทาง เค้นศักยภาพเกมรุกออกมาอย่างเต็มที่และก็ทำได้ดีมากด้วย แย่งบอลเก่ง ดุดัน ขยัน ขยับตัวตลอดเวลา เติมสวย ๆ ให้เพื่อนมองเห็นหลายครั้ง
มันต้องแลกมาด้วยพื้นที่ด้านหลังที่เขาทิ้งเอาไว้ ถามว่าเสี่ยงไหมมันเสี่ยงแน่นอนแต่ลิเวอร์พูลต้องพบกับสถานการณ์แพ้หรือเสมอไม่ได้และตอนนั้นทีมตกเป็นฝ่ายตามหลังไปแล้ว ผู้เล่นไบรท์ตันถอยลงไปตั้งรับในแดน แบร๊ดลี่ย์จึงต้องเติมขึ้นไปเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมให้เพื่อนในเกมบุก
จาเรลล์ ควอนซาห์ กับ วาตารุ เอนโด มีภารกิจเพิ่มขึ้นที่ต้องอ่านเกมให้ขาดในพื้นที่แบ๊กขวาที่แบร๊ดลี่ย์ทิ้งเอาไว้ในการเติมเกมบุกด้วย ทั้งคู่ต้องเข้าไปชะลอเกมหรือขัดขวางการบุกตรงนั้นยามผู้มาเยือนได้โอกาสสวนกลับ
มันก็แลกกันหวาดเสียวทีเดียว เพราะไบรท์ตันจ้องเล่นงานพื้นที่นั้นเขม็งและทำได้น่ากลัวในหลาย ๆ จังหวะ
เกมที่แอนฟิลด์เมื่อคืนวันอาทิตย์อาจไม่ใช่เกมที่ลิเวอร์พูลโชว์ฟอร์มประทับใจที่สุด แต่พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ ควบคุมผลการแข่งขันได้ เกมนี้สามคะแนนมาก่อนความสวยงามหรือสกอร์ถล่มทลาย
ช่วงท้ายเกมโดยเฉพาะนาทีท้าย ๆ ตอนทดเวลา นักเตะหงส์แดงไม่เล่นเสี่ยงกันแล้ว แม้จะมีโอกาสแทงบอลขึ้นหน้าแต่ถ้าไม่ใช่จังหวะที่หวังผลได้ระดับ 80-90 เปอร์เซนต์พวกเขาเลือกเก็บบอลไว้กับตัวด้วยการส่งผ่านให้กันไปมามากกว่า
ประตูที่สามเพื่อฝังให้เกมขาดก็อยากได้อยู่หรอก แต่การไม่เสียประตูตีเสมอสำคัญกว่า ทุกคนจึงต้องเล่นด้วยสติ ด้วยสมาธิ ด้วยความอดทน คิดถึงผลลัพธ์ใหญ่คือชัยชนะไว้ก่อน
นักเตะก็ลุ้น กองเชียร์ก็ลุ้นไปด้วยแบบตัวโก่ง เชื่อว่าเดอะค็อปเกือบทุกคนนั่งกัดเล็บนิ้วหงิกเกร็งด้วยความเครียดในช่วง 10 นาทีสุดท้ายกันทั้งนั้น
สามแต้มนี้ใหญ่.. มหาศาล
ลิเวอร์พูลแซงขึ้นนำจ่าฝูงด้วยคะแนนที่มากกว่าอาร์เซน่อล 2 คะแนนและมากกว่าแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3 คะแนน หลังจากบิ๊กแมตช์ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม จบลงด้วยการแบ่งแต้มจริง ๆ
เข้าสู่ทางตรง 9 เกมสุดท้ายแบบต้องเน้นกันสุด ๆ ในแต่ละนัดที่ลงสนาม
จนถึงวันจันทร์หน้า ลิเวอร์พูล อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ต้องผ่านเกมอีก 2 นัด มีอีก 6 คะแนนให้เก็บ
ทุกแต้ม ทุกเกม ทุกนาที ล้วนมีความหมาย การพลาดหกล้มบนถนนของม้า 3 ตัวส่งผลเสียหายรุนแรงเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับการแย่งแชมป์กันแค่ 2 ทีม
เพราะถ้าคุณพลาด คุณต้องลุ้นให้อีก 2 ทีมพลาดพร้อม ๆ กันด้วย ไม่ใช่แค่ทีมเดียว
นั่นล่ะครับคือความยากและความเครียดของการแย่งแชมป์กัน 3 ทีม เราจึงแทบไม่เคยเห็นฤดูกาลที่ลุ้นแชมป์กัน 3 ทีมไปจนถึงนัดสุดท้ายมาก่อนเลยเพราะจะมีอย่างน้อยหนึ่งทีมแหกโค้งหลุดวงโคจรไปก่อนเสมอ
เท่าที่ผมนึกออกตลอดการติดตามฟุตบอลมา เห็นจะมีเพียงบุนเดสลีกาเยอรมันฤดูกาล 1991/92 เท่านั้นเองครับที่มี 3 ทีมแย่งแชมป์กันไปจนถึงนัดปิดฤดูกาล ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ เฟาเอฟเบ สตุ๊ตการ์ท ซึ่งสุดท้ายทีมม้าขาวเป็นฝ่ายได้ชูโล่แชมป์ยิ่งใหญ่
พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ยังมีโอกาสเป็นอย่างนั้น แม้ประวัติเก่า ๆ ที่ผ่านมาจะบอกว่าไม่ใช่ก็ตาม
แต่สำหรับแฟนบอลของทั้ง 3 ทีมแล้ว จะเหลือม้าตัวเดียว 2 ตัว 3 ตัว หรือจะกี่สิบตัวก็ช่างเถิด ขอให้จบเกมที่ 38 แล้วทีมของตัวเองเป็นอันดับหนึ่งก็พอ..
ตังกุย