หลังจากจบช่วง "ฟีฟ่าเดย์" ในสัปดาห์นี้ ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะหวนกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง โดยจะเป็นช่วงโค้งสุดท้าย 10 แมตช์ลุ้นแชมป์ซึ่งงานนี้ทั้ง ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ห้ามพลาดเด็ดขาดไม่งั้นมีสิทธิ์หลุดวงโคจรได้เลย
สถานการณ์ของ "หงส์แดง" กับ "ปืนใหญ่" ต่างก็สูสีกันเพราะมี 64 คะแนนเท่านั้นแต่ทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า เหนือกว่าตรงผลต่างประตูได้เสีย ขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" ตามหลังพวกเขาเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าการลุ้นแชม์ระหว่าง "ม้าสามตัว" เป็นอะไรที่สูสีกันมากๆ และทีมไหนจะได้ชูโทรฟี่แชมป์ในเดือนพฤษภาคมยังไม่สามารถคาดเดาได้เลย แต่สำหรับสาวก "เดอะ ค็อป" แม้ว่าพวกเขาจะตามหลัง อาร์เซน่อล ก็ตาม แต่ก็มี 3 เหตุผลสำคัญที่น่าจะทำให้ "หงส์แดง" ได้เปรียบในการปาดหน้าคว้าแชมป์ลีกไปครอง
1. โปรแกรมลีก
ข้อได้เปรียบแรกสำหรับ ลิเวอร์พูล ก็คือพวกเขามีโอกาสที่จะทำให้การลุ้นแชมป์อยู่ในมือทันทีหลังหมดช่วงพักเบรกทีมชาติ เพราะทีมมีคิวรับมือ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่สนามแอนฟิลด์ ในวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคมนี้ และถ้าหากคว้า 3 คะแนนได้ก็จะโยนความกดดันให้กับ อาร์เซน่อล และ แมนฯ ซิตี้ ทันที
"เดอะ เร้ดส์" มีคิวเตะก่อนช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งถ้าพวกเขาชนะ ไบรท์ตัน ก็จะนั่งลุ้นเกม "บิ๊กแมตช์" ระหว่าง แมนฯ ซิตี้ พบ อาร์เซน่อล ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม งานนี้หากเจ้าบ้านเสมอหรือชนะก็สร้างประโยชน์ให้ทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ทันที
นอกจากนี้หากดูโปรแกรมทั้งสามทีมแล้วต้องบอกว่า ลิเวอร์พูล มีเกมสำคัญก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เอฟเวอร์ตัน ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ นอกจากรับมือ "ปืนใหญ่" แล้ว พวกเขายังต้องไปเยือน สเปอร์ส ทีมที่มักจะสร้างความเจ็บช้ำให้อยู่บ่อยๆ
ขณะที่ อาร์เซน่อล ต้องบอกเลยว่าโปรแกรมหนักหนาสาหัสจริงๆ ทั้งออกไปเยือน "เรือใบสีฟ้า" และทำศึกลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ 2 เกมดวล "ไก่เดือยทอง" กับ "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี ตามด้วยบุกถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ปะทะ แมนฯ ยูฯ ซึ่งนี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของพวกเขาเลยก็ว่าได้
2. ประสบการณ์ผู้จัดการทีม
แน่นอนว่าในช่วงเวลานี้การรับมือกับแรงกดดันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากๆ และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าทั้ง 3 ทีมจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน เมื่อต้องเจอกับสถานการณ์บีบหัวใจแบบนี้
นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจในการตรวจสอบว่าผู้จัดการทีมทั้ง 3 คนจะมีอาการเป็นยังไงในช่วงที่การลุ้นแชมป์เต็มไปด้วยความเข้มข้นขนาดนี้ เพราะถ้าหากกุนซือที่มีประสบการณ์บอกเลยว่ามีโอกาสเป๋ได้เลยทีเดียว
ในการคุมทีม 4 ฤดูกาลของ นายใหญ่คนหนุ่มชาวสแปนิช นั้น อาร์เซน่อล จบซีซั่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยค่าเฉลี่ยนอยู่ที่ 16.5 คะแนนจากแต้มที่มีให้เก็บจำนวน 30 คะนนในช่วง 10 แมตช์สุดท้าย
สำหรับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องบอกเลยว่าทำผลงานได้ดีมากๆ โดยมีค่าเฉลี่ย 23.5 คะแนนจากการคุมทีม 4 ซีซั่น ซึ่ง กุนซือสมองเพชร สามารถจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นกุนซือที่มีสถิติดีที่สุดโดยมีค่าเฉลี่ย 24 คะแนน แต่สิ่งสำคัญก็คือ "บอส" ต้องพัฒนาเรื่องการจบสกอร์ให้เฉียบคมกว่านี้ซึ่งถ้าสามารถทำได้ในช่วงโค้งสุดท้าย งานนี้ "หงส์แดง" ก็มีโอกาสดีที่จะได้แชมป์เช่นกัน
3. ความมุ่งมั่นในแชมเปี้ยนส์ ลีก
ถ้าหากจะมองหาข้อดีจากการพลาดเข้าไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา บางทีแฟนบอล "หงส์แดง" คงจะมองเห็นสิ่งนี้แล้ว จากการที่พวกเขากำลังลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในซีซั่น 2023/2024
แม้ว่าการลงโม่เกือกในเกมฟุตบอลถ้วยยุโรปไม่ใช่งานง่ายๆ แต่ไม่ต้องสงสัยว่าการที่ ลิเวอร์พูล ลงแข่งในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก ทำให้พวกเขามีโอกาสได้โรเตชั่นเพื่อให้นักเตะมีสภาพความฟิตสำหรับลุยเกมพรีเมียร์ลีก
นี่คือข้อได้เปรียบที่ อาร์เซน่อล กับ แมนฯ ซิตี้ จะไม่มีเมื่อพวกเขาต้องเข้าสู่ช่วงโปรแกรมสำคัญในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั้งสองทีมทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศเรียบร้อยแล้ว
"เดอะ กันเนอร์ส" มีโปรแกรมที่ค่อนข้างหนักเลยทีเดียวในรอบ 8 ทีมสุดท้ายเมื่อต้องพบกับ บาเยิร์น มิวนิค ทั้งเหย้า-เยือน ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่ต่างกันเพราะมีคิวปะทะ "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางโรเตชั่นทีมเด็ดขาดหากอยากผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกซึ่งถ้าทำสำเร็จก็อาจต้องเจอกันเองก็ได้
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ก็คงมุ่งมั่นกับเกม ยูโรปา ลีก เช่นกัน เพียงแต่ว่าพวกเขาสามารถที่จะโรเตชั่นทีมได้ เพราะหากมองจะเป้าหมายใหญ่แล้ว พรีเมียร์ลีก คือสิ่งที่ คล็อปป์ แอนด์ โค. ต้องการที่สุด