เป๊ป ทำแฟนเรือหัวใจจะวาย, ออร์เตก้า เอาอยู่! 5 ประเด็นเกม ลิเวอร์พูล แบ่งแต้ม แมนซิตี้

เป๊ป ทำแฟนเรือหัวใจจะวาย, ออร์เตก้า เอาอยู่! 5 ประเด็นเกม ลิเวอร์พูล แบ่งแต้ม แมนซิตี้
ลิเวอร์พูล พลาดโอกาสทวงเก้าอี้จ่าฝูงกลับคืนมาจาก อาร์เซน่อล อย่างน่าเสียดาย แม้จะมีแต้มเท่ากับ เดอะ กันเนอร์ส แต่ประตูได้เสียเป็นรองทีมเมืองหลวงเมื่อทำได้แค่เสมอกับ แมนฯ ซิตี้ 1-1 ทั้งๆที่สถานการณ์เป็นใจให้กับ หงส์แดง ตั้งแต่ต้นครึ่งหลังจากการฟาดแข้งศึก พรีเมียร์ลีก นัดบิ๊กแมตช์ที่สังเวียนแข้ง แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มี.ค. แต่ไม่ว่าจะอย่างไรการแย่งแชมป์ลีกเมืองผู้ดีของทั้งสามสโมสรจะยังคงความดุเด็ดเผ็ดร้อนต่อไปจนกระทั่งจบซีซั่นอย่างไม่ต้องสงสัย

1. หงส์ไร้ โกนาเต้,ซาลาห์ สำรอง - เรือได้ เดอ บรอยน์-โฟเด้น

ลิเวอร์พูล ประสบกับปัญหาขาด อิบราฮิม่า โกนาเต้ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟซึ่งเจ็บมาจากเกม ยูโรปาลีก รอบ 16 ทีมนัดแรกที่ออกไปถล่ม สปาร์ต้า ปราก 5-1 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

รวมเบ็ดเสร็จ เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับทัพสามจุดจากเกมเมื่อวันพฤหัสบดีโดยส่ง จาเรลล์ ควานซาห์ ลงเล่นร่วมกับ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ และกลับมาใช้งาน คอเนอร์ แบรดลีย์ กับ โดมินิก โซโบซไล เป็นตัวจริงแทน แอนดี้ โรเบิร์ตสัน กับ โคดี้ กัคโป

จากการวางหมากดังกล่าว ส่งผลให้ โจ โกเมซ รับบทแบ็คซ้าย ขณะที่ โม ซาลาห์ นั่งข้างสนามต่ออีกเกมโดย ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงหกนัดติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน สามแดนกลาง วาตารุ เอ็นโด , อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ โซโบซไล กลับมาลงเล่นร่วมกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกมบุกไปดับ เชฟฯ ยูไนเต็ด 2-0 เมื่อเดือนธ.ค.

ส่วนทางฝั่ง แมนฯ ซิตี้ บุกมาเยือน แอนฟิลด์ ด้วยการส่ง เควิน เดอ บรอยน์ กับ ฟิล โฟเด้น สองกองกลางตัวกลั่นคืนโผตัวจริงหลังจากทั้งคู่ได้นั่งพักข้างสนามโดยไม่ได้ลงเล่นในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมนัดสองที่เปิดบ้านเชือด โคเปนเฮเก้น 3-1 เมื่อกลางสัปดาห์

กระนั้นก็ดี หากจะเทียบกับเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดที่เอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 3-1 เช่นกันที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โรเตชั่นทีมสองจุดโดยส่ง มานูเอล อาคันจี กับ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ลงเล่นก่อนหน้า รูเบน ดิอาส กับ เฌเรมี่ โดกู

2. โดกู รอดจุดโทษได้ไง ?

 หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงเยอะมากหลังเกมนี้ก็คือจังหวะที่ เฌเรมี่ โดกู โชว์ลีลากังฟูคิกถีบเข้ายอดอกของ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ในเขตโทษ แต่ดันลอยนวลหน้าตาเฉย

 จังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงนาทีที่ 90+8 เมื่อ โดกู ตั้งใช้ยกเท้าสูงใส่บริเวณหน้าอกของ สตาร์ทีมชาติอาร์เจนไตน์ ซึ่งใครเห็นก็บอกว่าเป็นจุดโทษร้อยเปอร์เซนต์ แต่ ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ กลับไม่สนใจ และไม่ยอมรับฟังคำแนะนำจากห้องวีเออาร์ โดยปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป 

 แฟนบอลทั่วโลกแสดงความเห็นกันไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับจังหวะดังกล่าว โดยบางคนบอกว่าสาเหตุที่ไม่เป็นจุดโทษเพราะ โดกู แตะโดนบอลนิดนึงก่อนที่เท้าจะยันเข้าที่ยอดอกของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ขณะที่บางคนแย้งว่าถึงยังไงก็ต้องเป็นจุดโทษเพราะแบบนี้เป็นการจงใจยกเท้าสูง และเล่นอันตราย

 เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ความเห็นว่า ปีกชาวเบลเยียม โดนบอลก่อนแต่เป็นเพราะเขายกเท้าสูง ยังไงก็ต้องเป็นจุดโทษ ขณะที่ ไมค์ ดีน อดีตผู้ตัดสินชื่อดัง ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่าจังหวะนี้ยังไงก็ต้องเป็นจุดโทษ เช่นเดียวกับ แกรี่ เนวิลล์ ที่เสริมว่า โดกู โคตรโชคดีที่รอดการเสียจุดโทษและไม่โดนลงโทษอะไรเลย 

 แน่นอนว่าจังหวะดังกล่าวคงเป็นที่ถกเถียงกันอีกครั้งเกี่ยวกับมาตรฐานของระบบ "วีเออาร์" กับผู้ตัดสินในสนาม แต่ฝ่ายที่เสียประโยชน์อย่าง ลิเวอร์พูล ก็ถือว่าโชคร้ายอีกครั้ง

3. เดอ บรอยน์ คือความแตกต่าง

ถือเป็นเกมที่สูสีตามคาด แต่เป็น แมนฯ ซิตี้ ที่ชิงออกนำได้ก่อนในครึ่งแรก 1-0 จากลูกเตะมุมด้านขวานาทีที่ 23 ของ เดอ บรอยน์ ที่มี จอห์น สโตนส์ ปรี่เข้าซัดมุมแคบไม่เหลือ แต่ทั้งนี้ต้องยกนิ้วให้ นาธาน อาเก้ เช่นกันที่เบียด แม็ค อัลลิสเตอร์ พ้นเสาแรกจนเป็นการเปิดพื้นที่ให้ดาวเตะอิงลิชได้เข้าฮอส

หลังจากทีมเยือนได้เฮก่อน มิดฟิลด์ทีมชาติ เบลเยี่ยม ก็เพิ่มผลงานมีส่วนกับประตูโดยตรงเป็นเม็ดที่ 13 แล้วจาก 12 นัดในทุกรายการที่เขาลงเล่นให้ เรือใบสีฟ้า นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ปี 2024 ( 2 ประตู 11 แอสซิสต์) ซึ่งไม่มีนักเตะใน พรีเมียร์ลีก คนไหนยอดเยี่ยมไปกว่านี้อีกแล้ว

หากจะนับเฉพาะเกมกับ ลิเวอร์พูล เดอ บรอยน์ มีผลงานแอสซิสต์ในเกม พรีเมียร์ลีก 7 ประตูแล้ว และเป็นรองแค่ ไรอัน กิ๊กส์ อดีตสตาร์ทีม แมนฯ ยูไนเต็ด ในรายการนี้คนเดียว (8 แอสซิสต์)

แต่หากจะนับทั้งประตู และแอสซิสต์ในเกมฟัดกับ หงส์แดง ในฟุตบอลลีกรวมกัน เดอ บรอยน์ ทำไปแล้ว 11 ประตู (4 ประตู 7 แอสซิสต์) เป็นรองแค่ แอนดี้ โคล (14) และ ไรอัน กิ๊กส์ (12)

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับ ลิเวอร์พูล อีกอย่างคือแม้จบ 45 นาทีแรกพวกเขาจะครองบอลได้เหนือกว่า 53:47% ก็จริง แต่ทีมเจ้าบ้านเกือบส่งบอลเข้ากรอบไม่ได้เลยสักครั้งหากไม่ได้ลูกฟรีคิกหน้าเขตโทษในช่วงทดเวลาจาก โซโบซไล ที่ถูก เอแดร์สัน ตะปบได้ รวมแล้ว เร้ด แมชีน ได้สับไก 7 ครั้งเข้ากรอบครั้งเดียว ขณะที่ทีมเยือนได้ยิง 7 ครั้งเท่ากัน แต่เข้ากรอบ 4 ครั้ง

4. เป๊ป คิดอะไรอยู่???

แม้เกมในครึ่งแรกจะไม่สู้ดี แต่ ลิเวอร์พูล มาได้ความสะเพร่าของ อาเก้ ตั้งแต่ต้นครึ่งหลังจากจังหวะผ่านบอลคืนหลังเส้นเกินไปจนทำให้ เอแดร์ซอน เข้าสกัด นูนเญซ ล้มในเขตโทษ แถมนายทวารทีมชาติ บราซิล เล่นต่อได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยนตัวด้วยหลังเซฟการสังหารจาก แม็ค อัลลิสเตอร์ ไม่สำเร็จซึ่งทำให้เจ้าบ้านตีเสมอเป็น 1-1

ถึงตรงนี้ ทุกอย่างเป็นใจให้กับ เร้ด แมชีน แบบเต็มที่แล้วทั้งกำลังใจที่มาเต็ม และโดยเฉพาะการตีเสมอได้เร็วทำให้นักเตะของ คล็อปป์ เดินหน้าพับสนามบุกใส่อาคันตุกะแบบไม่ยั้งกระทั่งมีเกมเหนือกว่าแชมป์เก่าอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่แฟนบอล แมนฯ ซิตี้ คาดไม่ถึงคือ กวาร์ดิโอล่า เลือกแก้เกมด้วยการเปลี่ยน เด บรอยน์ ออกให้ มาเตโอ โควาซิช ลงเล่นแทนซึ่งแม้แต่จอมทัพของทีมยังไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเจ้านายเนื่องจากเห็นกันอยู่ว่าเขายังมีพิษสงมากพอที่จะผ่านบอลแบบทีเด็ดทีขาดทำร้ายทีมเจ้าบ้านได้แม้รูปเกมจะตกเป็นรองก็ตาม

อย่างไรก็ดี การมี สเตฟาน ออร์เตก้า ลงเฝ้าเสาแทน เอแดร์ซอน ของ แมนฯ ซิตี้ ไม่ได้เป็นจุดอ่อนให้เจ้าถิ่นเล่นงานง่ายๆเหมือนที่สาวก เดอะ ค็อป อาจคิดกันอยู่ในใจเนื่องจากนับตั้งแต่ได้ลงสนาม มือกาวชาวเยอรมันเซฟลูกอันตรายได้โดยตลอดรวมทั้งสิ้นสามสี่หนเห็นจะได้ และมีส่วนสำคัญช่วยให้แชมป์เก่าไม่แพ้ ลิเวอร์พูล

ฉะนั้นแล้วจึงพอจะบอกได้ว่าน่าเสียดายแทน หงส์แดง ที่จม เรือใบสีฟ้า ไม่สำเร็จหลังบดเกือกกับครบ 90 นาทีซึ่งสถิติบ่งชี้ว่าพลพรรค เครื่องจักรสีแดง ครองบอลได้เหนือกว่า 53:47% และได้ส่องยิง 19 ครั้งเข้ากรอบ 6 ครั้ง ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ ได้ลุ้น 10 ครั้ง และส่งบอลเข้ากรอบได้ 6 เท่ากัน

จากตัวเลขที่ปรากฏทำให้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสยิงประตู แมนฯ ซิตี้ ในเกม พรีเมียร์ลีก มากที่สุด (19 ครั้ง) นับตั้งแต่เดือนก.พ.2013 ซึ่งพวกเขาเคยได้ยิง เรือใบสีฟ้า รวม22 ครั้ง อีกทั้งโอกาสยิงประตูของเจ้าบ้านในครึ่งหลังเกมนี้ (12 ครั้ง) ยังเป็นตัวเลขที่มากที่สุดที่ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ประสบเฉพาะ 45 นาทีหลังของเกมลีกด้วยนับตั้งแต่พวกเขาโดน ไบรท์ตัน ไล่ยิง 12 ครั้งเช่นกันในเดือนพ.ค.2021

5. สถิติที่น่าทึ่ง

- จากการส่ง  แบรดลีย์ (20) , เอลเลียตต์ (20) และ ควานซาห์ (21) ลงสนามเป็นตัวจริง นับเป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล ใช้งานนักเตะอายุไม่เกิน 21 ปีสามรายต่อกรกับ แมนฯ ซิตี้ ในเกม พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่เดือนมี.ค.2015 ที่พวกเขาส่ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง , เอ็มเร่ ชาน และ ลาซาร์ มาร์โควิช ลงสนาม

- นูนเญซ โดนยกธงล้ำหน้าเกมนี้ห้าครั้ง และถือเป็นสถิติสูงสุดร่วมในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้

- นับเป็นครั้งที่สองแล้วจากสามซีซั่นหลังที่ ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ กินกันไม่ลงโดยเสมอกันในเกมลีกทั้งสองนัดเช่นเดียวกับซีซั่น 2021/22 และ 2023/24 แถมการเผชิญหน้ากันสี่จากหกนัดหลังในเกมลีกระหว่างทั้งคู่ยุติลงด้วยการแชร์แต้ม

- ทีมที่คลำเป้าได้ก่อนจากเกมลีกแปดนัดหลังระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ มีแค่สองครั้งเท่านั้นที่พวกเขากำชัยได้โดยห้าครั้งจบลงด้วยผลเสมอ ขณะที่ หงส์แดง ซึ่งเก็บได้หนึ่งแต้มในเกมนี้หลังเสียประตูก่อนเพิ่มผลงานพลิกสถานการณ์จากที่ตกเป็นรองคว้าแต้มจากเกมลีกซีซั่นนี้ได้มากถึง 23 แต้มแล้ว

- สโตนส์ ทำประตูแรกในเกมลีกซีซั่นนี้ได้สำเร็จ และเป็นประตูแรกของเขานับตั้งแต่เกมบู๊กับ อาร์เซน่อล วันที่ 26 เม.ย.2023

- แมนฯ ซิตี้ ไม่แพ้เกมลีกมานาน 34 นัดแล้วหากได้ประตูนำก่อนโดยหนสุดท้ายที่พวกเขาปราชัยหลังมีสกอร์นำในรายการนี้เป็นเกมพ่าย แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 เมื่อวันที่ 14 ม.ค.2023

- หลังแชร์แต้มกับ แมนฯ ซิตี้ ได้สำเร็จ ลิเวอร์พูล ยังสานผลงานที่แข็งแกร่งในเกมเหย้าได้ต่อไปด้วยการไม่เสียท่าให้กับอาคันตุกะใน แอนฟิลด์ มาตั้งแต่เดือนก.พ.ปีก่อน


ที่มาของภาพ : ลิเวอร์พูล
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport