ประตูนูนเญซย้ำชัด นี่คือคุณสมบัติที่ดีของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้

ประตูนูนเญซย้ำชัด นี่คือคุณสมบัติที่ดีของ ลิเวอร์พูล ชุดนี้
วาตารุ เอนโด เริ่ม.. อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เชื่อม.. ดาร์วิน นูนเญซ จบ..

ผมดูจังหวะนี้เป็นรอบที่ร้อยแล้วกระมังครับ รอยยิ้มไม่หุบลงจากครั้งแรกเลย

ดูอย่างชุ่มฉ่ำหัวใจ ดูอย่างมีความสุข ดูแล้วดูอีก ไล่ย้อนดูปฏิกิริยาของทุกๆ คน

ช่วงที่เริ่มแย่งบอลได้แต่ละคนขยับตัวอย่างไร ช่วงที่บอลจากเท้าซ้ายของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ลอยอยู่กลางอากาศ แต่ละคนยืนมองมันอย่างไร ในใจของพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งของลิเวอร์พูล และของน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์

แล้ววินาทีที่นูนเญซสะบัดโขกลูกนั้นตุงตาข่ายเล่า.. แต่ละคนทำอะไร

ดูคนนี้ แล้วย้อนกลับไปดูคนนั้น แล้วย้อนกลับไปดูคนนู้น แล้วย้อนกลับไปดูคนโน้น ดูแล้วย้อน.. ดูแล้วย้อน.. ดูแล้ว..

เอนโดวิ่งสะบัดแขนขวาอย่างสะใจสุดเหวี่ยง 1 ที 2 ที 3 ที ปรี่ไปทางมุมธงที่งานฉลองย่อมๆ กำลังเริ่มขึ้น

แม็ค อัลลิสเตอร์ วิ่งไปอีกทาง กางแขนแหกปากดีใจวนกลับไปทางม้านั่งสำรอง

โดมินิก โซโบซไล อยู่ใกล้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่สุด กองกลางฮังกาเรียนเตะมุมแล้ววิ่งกลับไปรักษาพื้นที่ เขาเรียกบอลจากแม็ค แต่เมื่อมิดฟิลด์อาร์เจนไตน์เลือกเล่นเอง พลิกตัวแล้วตักบอลเข้าเขตโทษ โซโบก็ยืนลุ้น ในใจจะคิดอะไรไม่รู้ อาจจะบ่นแม็คที่ไม่คืนบอลมาให้ก็ได้ แต่เมื่อเห็นบอลเข้าประตูก็ชูมือขึ้นสองแขนก่อนจะหลุดเฟรมกล้องไป

สองกองกลางคงจะไปกอดกันกลมอยู่แถวๆ นั้นนั่นแหละ ก่อนจะตามไปสมทบกับเพื่อนกลุ่มใหญ่ตรงมุมธงที่เดอะค็อปตามมาเชียร์อยู่ตรงนั้น

อิบราฮิมา โกนาเต้ อยู่แถวๆ หัวกะโหลก เจย์เด้น แดนน์ส กับ หลุยส์ ดิอาซ อยู่ในเขตโทษ ทั้งสามคนวิ่งอย่างลิงโลดไปทางดาร์วินเจ้าของประตูที่สปรินต์เต็มกำลังไปมุมธง

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ เป็น 1 ใน 4 คนของนักเตะหงส์แดงที่อยู่ในเขตโทษจังหวะนั้น ยอดกัปตันอยู่ไกลสุดทางแถวสองชูมือเรียกบอลตั้งแต่แรก และวิ่งเข้าไปหยิบบอลที่เพิ่งเข้าประตูหมาดๆ คงจะเอามันออกมาหวดระบายความสะใจ แล้วก็ตามไปฉลองอีกคน

คอสตาส ซิมิกาส หลังจากยิงวอลเล่ย์ไปติดบล็อกแล้วก็ถอยกลับมาประจำพื้นที่รอเก็บบอลแถวสอง กรีกสเกาเซอร์คือคนที่มาถึงตัวดาร์วินตรงป้ายโฆษณามุมธงเป็นคนที่สองต่อจากดิอาซ แหกปากสะใจกอดหมับเข้าให้แล้วยังตะโกนฉลองกับแฟนบอล

ไทโว อโวนิยี่ กองหน้าฟอเรสต์ยืนนิ่งเป็นหิน คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ผายมือแสดงอารมณ์ไม่เข้าใจไปยังอโวนิยี่ แฮร์รี่ ทอฟโฟโล่ แบ๊กซ้ายฟอเรสต์เหวี่ยงแขนโมโหหันมาโวยทั้ง อโวนิยี่ และ ฮัดสัน-โอดอย ที่ทำเสียบอลเป็นที่มาของการเสียประตู

ส่วน ดาร์วิน นูนเญซ พระเอกของงาน.. เขารู้ตัวว่าบอลจากหัวของเขาเข้าประตูแน่ตั้งแต่ตัวยังไม่ตกถึงพื้นด้วยซ้ำ

หัวหอกอุรุกวัยขยับตัวเข้าช่องในเวลาเดียวกับที่เท้าซ้ายของแม็ค อัลลิสเตอร์ สัมผัสบอล เมื่อรู้ว่าบอลลอยมาทางเขาแน่ๆ แล้วก็ควบคุมความตื่นเต้นในวินาทีที่สำคัญที่สุด กะจังหวะกระโดดอย่างถูกต้อง เรี่ยวแรงกำลังขาที่สดกว่าเพราะเพิ่งจะเล่นไปแค่ไม่ถึง 40 นาทีทำให้เทกตัวได้สูงกว่า เนโก้ วิลเลียมส์ คนตามประกบที่เล่นมาตั้งแต่นาทีแรก

วินาทีสังหาร.. ดาร์วินสะบัดศีรษะส่งบอลพุ่งด้วยความแรงที่พอดีไปทางมุมประตู ตกพื้นหนึ่งทีกระดอนเข้าไปตุงตาข่าย มัตซ์ เซลส์ นายทวารเบลเจี้ยนได้แต่ยืนมองหมดสิทธิ์ป้องกัน

ขณะอยู่กลางอากาศ ดาร์วินมองบอลที่พุ่งออกจากหัวของเขาก่อนที่ธรรมชาติของร่างกายจะบังคับให้เขาต้องหันกลับไปอีกทางเพื่อจัดท่าทางทรงตัวขณะลงพื้น แต่ตอนนั้นเขารู้ว่าทุกอย่างจบแล้ว มันเป็นประตูของเขาแล้ว

ทันทีที่ลงพื้นในท่าหันหลังให้ประตู ดาร์วินไม่หันมามองผลงานด้วยซ้ำ แต่ดีดตัววิ่งไปทางมุมธงเพื่อฉลองประตูทันที บางทีอาจเพราะสัญชาติญาณและประสบการณ์ที่ทำให้เขามั่นใจว่าลูกนั้นเป็นประตูร้อยเปอร์เซนต์ หรือหูของเขาอาจได้ยินเสียงเฮที่กัมปนาทที่เกิดขึ้นก่อนก็ได้

สำหรับเดอะค็อป การกระโดดโหม่งลงมาแล้วดีใจเลยโดยไม่หันไปมองผลงาน.. น้องเท่เป็นบ้าเลยรู้เปล่า

แล้ว เยอร์เก้น คล็อปป์ เล่า.. โปรดิวเซอร์ถ่ายทอดสดไม่พลาดที่จะรีเพลย์วินาทีนั้นของเขา มือล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ต สายตาลุ้นภาพที่เห็น แล้วก็ดึงมือขึ้นมาชูขึ้นสุดแขน เหลียวมองผู้ช่วยผู้ตัดสิน เมื่อมั่นใจว่าไม่มีธงยกขึ้นก็หันหน้าเดินไปทางซ้ายมือของตัวเอง ยิ้มแป้น

ฉากหลังของคล็อปป์ในเฟรมนั้นเป็นความอลหม่าน.. ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์, โกดี้ คักโป, คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์, จาเรลล์ ควอนซาห์, ลูอิส คูมาส, บ๊อบบี้ คล้าร์ก ผุดจากเก้าอี้วิ่งแหกปากดีใจสวนออกไป เป้าหมายคงเป็น แม็ค อัลลิสเตอร์ กับ โซโบ แน่ๆ

เจมส์ แม็คคอนเนลล์ ก็คงลุกไปฟัดกับเพื่อนๆ ด้วยนั่นแหละถ้าไม่ถูก แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ล็อกคอไว้ตรงนั้น เฮียแกคงไม่ได้ขี้เกียจหรอก แต่แค่วิ่งไม่ทันน้องๆ เห็นใครอยู่ใกล้ก็เลยล็อกคอเอาไว้ก่อน อยู่ฉลองกับเฮียก่อน

น้าอาเดรียนคือคนแรกที่พุ่งเข้ามาหาคล็อปป์ ยิ้มกว้างอย่างยินดี

ซีนเหล่านี้โคตรมีคุณค่า พาให้ใจเบิกบาน ยิ่งดูหลายๆ รอบเข้าก็พานน้ำตาเอ่อ

มันคือประตูชัยในวินาทีสุดท้ายของเกม เป็นสัมผัสสุดท้ายของนักเตะลิเวอร์พูลด้วยซ้ำ และมันทำให้ลิเวอร์พูลทำภารกิจสุดยากให้ลุล่วงในที่สุด ได้ 3 คะแนนที่ต้องการ หนีแมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็น 4 คะแนน ทิ้งอาร์เซน่อลเป็น 5 แต้ม..

-------------------

วาตารุ เอนโด คือคนแรกที่มีปฏิกิริยาหลังลูกยิงของ ซิมิกาส ถูกบล็อกกระดอนมาเข้าทาง ฮัดสัน-โอดอย

กองกลางทีมชาติญี่ปุ่นพุ่งปราดจากตำแหน่งที่ยืนในหัวกะโหลกหน้าเขตโทษเข้าหาอดีตนักเตะเชลซีในทันที มันเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติ ไม่รีรอ ไม่ขี้เกียจ ไม่มีเนือย

แค่เสี้ยววินาทีแห่งความรวดเร็วนั้นเองที่ส่งผลมหาศาล เพราะมันทำให้เขาถึงตัวฮัดสัน-โอดอยและแซะให้เสียจังหวะก่อนจะตามแหย่เท้าสะกิดบอลที่ทะลักไปถึงอโวนิยี่ได้ทันเวลา เป็นชั่วอึดใจล้ำค่าทำให้บอลกระฉอกไปเข้าทางแม็ค อัลลิสเตอร์

ลองนึกดูนะครับว่านาที 90+9 แล้ว การบุกก็น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย บอลที่เพื่อนยิงก็ถูกบล็อกกระดอนไปถึงคู่แข่ง ถ้าปล่อยให้ความท้อความเหนื่อยอยู่เหนือความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ชนะ เอนโดอาจจะถอนหายใจ ยืนมอง ปล่อยไปตามยถากรรม หรือขยับตัวช้ากว่านั้น และประตูของดาร์วินก็จะไม่เกิดขึ้น

รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บทุกเม็ดนี่แหละครับที่เป็นคุณสมบัติที่ดีของลิเวอร์พูลชุดนี้ เมื่อคนละเล็กคนละน้อยรวมกันเข้าเป็นทีม มันจึงสามารถส่งผลลัพธ์มหาศาลได้ นี่คือความเชื่อที่คล็อปป์สามารถใส่ลงไปในทัศนคติของลูกทีมทุกคนได้อย่างน่าชื่นชม

ประตูชัยของลิเวอร์พูลที่ ซิตี้ กราวนด์ เกิดขึ้นจากความไม่ยอมแพ้นี้ และเกิดโดยเสี้ยววินาทีของการตัดสินใจ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ บางทีทั้ง ฮัดสัน-โอดอย และ อโวนิยี่ คงเตะบอลทิ้ง แต่กับความเป็นจริง ณ เวลานั้น การตัดสินใจมีเพียงเสี้ยววินาที บอลที่ทะลักมาเข้าทางถ้าลนลานเตะทิ้งไปก็ถูกลิเวอร์พูลเก็บบอลมาบุกใส่ต่ออยู่ดี สู้พาบอลขึ้นไปตามช่องที่เปิดให้ดีกว่า ได้ทั้งเวลา ได้ทั้งโอกาสทำประตู

แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้า เอนโด ไม่พุ่งรี่เข้ามาเป็นอุปสรรค ไม่สะกิดบอลได้นิดเดียวจากปลายเท้าที่ส่งผลลัพธ์ใหญ่หลวง เกมก็คงจบลงอีกแบบไปแล้ว และการตัดสินใจของ ฮัดสัน-โอดอย กับ อโวนิยี่ ก็จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

------------------

มันคือเกมที่ไม่ง่ายจริงๆ อย่างที่คิดกันไว้ ชื่อของ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ อาจไม่น่ากลัว แต่ ซิตี้ กราวนด์ คือสังเวียนที่น่าเกรงขาม ลิเวอร์พูลไม่ชนะที่นั่นมาเกือบ 40 ปีแล้ว

ฤดูกาลก่อนก็กลับบ้านไปมือเปล่าจากที่นี่ ก็อโวนิยี่เด็กเก่านั่นแหละที่ยิงประตูหักปีกหงส์ มาเจอกันเกมนี้ลิเวอร์พูลยังผ่านศึกมาถี่ยิบทั้งยังมีนักเตะเจ็บหลายคนอีกต่างหาก

แล้วด้วยการวางแผนการเล่นของฟอเรสต์ กุนซือ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ เน้นความรัดกุม รับให้แน่นแล้วหาจังหวะโต้กลับ ตัดบอลได้รีบโจมตีพื้นที่ว่างด้านหลังแนวรับทีมเยือนด้วยความเร็วของ ฮัดสัน-โอดอย กับ อันโธนี่ อีลังก้า วาง ดิว็อค โอริกี้ เป็นตัวพักบอล และมี มอร์แกน กิ๊บบ์ส-ไวท์ คอยปล่อยบอลเล่นงาน

ให้ลิเวอร์พูลครองบอลตามสบาย แต่ให้ทำได้แค่เท่านั้น กระชับพื้นที่ไม่ให้เจาะเข้าแดนสาม ปิดทุกช่องว่างให้แน่น

คล็อปป์ส่ง โจ โกเมซ เล่นเป็นกองกลางตัวรับเหมือนเกมเอฟเอ คัพ ที่ชนะเซาธ์แฮมป์ตันเพราะต้องการสงวนร่างกายของ เอนโด ไว้สำหรับศึกอื่นที่รออยู่ ให้โอกาส บ๊อบบี้ คล้าร์ก มิดฟิลด์ดาวรุ่งเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกครั้งแรก ยืนกองกลางฝั่งซ้าย

ทิม เชอร์วู้ด กับ สตีฟ แม็คมานามาน อดีตนักเตะพรีเมียร์ลีกที่เป็นนักวิจารณ์ทางสกายสปอร์ตส์พูดถึงการเล่นของ คล้าร์ก ในช่วงพักครึ่งว่าไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้โดดเด่น และมีจังหวะการตัดสินใจบางครั้งที่อาจจะยังไม่ละเอียดหรือเข้าขากับรุ่นพี่มากพอ

โดยรวมคือเล่นได้ ไม่สะดุดหรือติดขัด และอนาคตจะดีขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆ

สำหรับผมทั้ง คล้าร์ก และ โกเมซ พอจะเอาตัวรอดได้ ไม่ได้เล่นแย่อะไร ทุกอย่างเป็นไปตามเกมที่ฟอเรสต์เปิดให้ ขณะที่ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ขึ้นไปยืนหน้าขวาก็พยายามมีส่วนร่วมขยับตัวเคลื่อนที่ตลอดเวลา แต่เกมทางขวาของลิเวอร์พูลในครึ่งแรกแทบจะหายไปเลย

จังหวะสำคัญที่สุดของครึ่งแรกอยู่ที่การป้องกันประตูอันยอดเยี่ยมอีกครั้งของ ควีวิน เคลเลเฮอร์ จังหวะที่ อีลังก้า หลุดเดี่ยวลูกนั้นนายทวารอดีตกองหน้าสมัยเล่นฟุตบอลเยาวชนที่ไอร์แลนด์ยังแสดงให้เห็นถึงความนิ่งและเยือกเย็นเป็นน้ำแข็งเหมือนเดิม ประสบการณ์ที่เคยเป็นคนทำประตูมาก่อนน่าจะมีส่วนทำให้เขามีสัญชาตญาณอ่านใจผู้เล่นเกมรุกว่าในวินาทีที่ต้องตัดสินใจนั้นจะเลือกยิงแบบไหน

เป็นการป้องกันที่สำคัญมากๆ เช่นเดียวกับการโยนโอกาสทิ้งไปเองของผู้เล่นฟอเรสต์โดยเฉพาะหลังจากที่ อโวนิยี่ ถูกส่งลงมาแทน โอริกี้ และเล่นได้อย่างมั่นใจ ปะทะ พักบอล เชื่อมเกมด้านบน อย่างจังหวะที่ อีลังก้า ได้ยิงย้อนศรหลุดกรอบนิดเดียวในครึ่งหลังก็เริ่มต้นมาจากอดีตศูนย์หน้าลิเวอร์พูลคนนี้

เกมของฟอเรสต์ในช่วงที่อโวนิยี่ลงมาดูมีโอกาสขึ้น มันไม่น่าแปลกใจนักเพราะนั่นคือช่วงประมาณยี่สิบนาทีสุดท้ายของเกม ลิเวอร์พูลเริ่มพบกับความกดดันที่ต้องทำประตูให้ได้ เครียดกว่าเดิมด้วยเวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกที ความตะกุกตะกักไม่ไหลลื่นจึงเกิดขึ้นและเป็นที่มาของการเสียบอลให้ฟอเรสต์ได้เล่นงาน

เกมนี้เราได้เห็นคล็อปป์พยายามปรับตำแหน่งนักเตะในทีมจากการเปลี่ยนตัว เพิ่มความสดชื่นลงไปโดยทีมไม่เสียสมดุล

นาที 60 คล้าร์ก กับ โรเบิร์ตสัน ถูกถอดออก เอนโด กับ ดาร์วิน ถูกส่งลงมาแทน ปรับตำแหน่งเอนโดมาเล่นกองกลางตัวรับแทน โจ โกเมซ ที่ถอยไปยืนแบ๊กซ้ายแทนโรเบิร์ตสัน โกดี้ คักโปขยับไปยืนกองหน้าฝั่งขวาหลีกทางให้ดาร์วินเล่นหน้าเป้า เอลเลียตต์ถอยไปยืนกองกลางฝั่งขวา โยก แม็ค อัลลิสเตอร์ ไปเล่นกองกลางด้านซ้ายแทนคล้าร์ก

เกมไม่กระเตื้องขึ้นนักเพราะฟอเรสต์เริ่มเล่นด้วยความมั่นใจที่มากขึ้น สวนทางกับความตึงเครียดของฝั่งลิเวอร์พูล จังหวะยิงหลุดกรอบของอีลังก้าเกิดขึ้นในช่วงนั้น

เมื่อถึงนาทีที่ 75 โซโบซไล ก็ถูกส่งลงมาอีกคนแทนที่ เอลเลียตต์ แต่เกมก็ยังกดเจ้าถิ่นให้มิดไม่ได้ แล้วเมื่อถึงนาทีที่ 83 ไพ่ 2 ใบสุดท้ายก็ถูกส่งลงมา เจย์เด้น แดนน์ส กับ ซิมิกาส ลงแทน คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ และ คักโป

โจ โกเมซ โยกจากแบ๊กซ้ายไปเล่นแบ๊กขวาแทนแบร๊ดลี่ย์ เป็นตำแหน่งที่ 3 ที่เขาเล่นในเกมนี้เกมเดียว ส่วน แดนน์ส ใช้ความสดไปช่วย ดิอาซ และ ดาร์วิน วิ่งกดดันแนวรับฟอเรสต์ให้ออกบอลยาก

คล็อปป์เค้นทุกอย่างออกมาหมดเกลี้ยง ใช้นักเตะทุกคนที่มี ใช้หนทางทุกวิธีที่คิดได้ แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านไปถึงนาทีที่ 85, 90 เข้าสู่ช่วงทดเวลา ความหวังที่แม้จะยังมีก็ค่อยๆ มอดลงเรื่อยๆ

มันแทบจะหมดไปแล้วด้วยซ้ำเมื่อเข้าสู่นาทีที่ 8 นาทีสุดท้ายของการทดเวลา

แต่ก็นั่นล่ะครับฟุตบอล.. ประตูที่ 43 จากตัวสำรองในทุกรายการฤดูกาลนี้ (21 ประตู 22 แอสซิสต์) มาเกิดขึ้นเอาในเวลาที่ความหวังกำลังจะมอดดับพอดี

ด้วยความมุ่งมั่นไม่เคยถอย ด้วยความพยายามไม่เคยยอมแพ้ ด้วยความมุมานะด้วยทัศนคติที่ถูกต้องที่สุด

Never give up..

วาตารุ เอนโด เริ่ม.. อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เชื่อม.. ดาร์วิน นูนเญซ จบ..

การเห็นทีมรักยิงประตูชัยเป็นความสุขสุดยอดอย่างไร การได้ประตูชัยในช่วงทดเวลายิ่งเป็นความสุขทวีคูณขึ้นไปอีก

และในเกมนี้.. ลิเวอร์พูลทำประตูชัยในเกมสำคัญที่มีความหมายต่อการลุ้นแชมป์ ในโอกาสบุกครั้งสุดท้าย ในวินาทีสุดท้าย จากคุณภาพที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขานั่นคือหัวจิตหัวใจแห่งการไม่ยอมแพ้

ลิเวอร์พูลชนะ ทิ้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้เป็น 4 คะแนน หนีอาร์เซน่อลเป็น 5 คะแนน ก้าวเข้าสู่ 11 เกมสุดท้ายอย่างเร้าใจเหลือเกิน

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport