ฟุตบอลของ คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล

มีความอึดอัดเกิดขึ้นอยู่เหมือนกันที่แอนฟิลด์..

หากมันก็เพียงแค่ราว 10-15 นาทีแรกของเกม ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น ลงตัวขึ้น

เด็กๆ ของลิเวอร์พูลได้โอกาสแสดงผลงานอีกครั้ง มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเกมแล้วเกมเล่าจนเราเริ่มจะคุ้นเคยกับพวกเขาเหมือนเป็นนักเตะในทีมชุดใหญ่

ชื่อของ จาเรลล์ ควอนซาห์ กับ คอเนอร์ แบร๊ดลี่ย์ ติดลมบนไปแล้ว ชื่อของ เจย์เด้น แดนน์ส, เจมส์ แม็คคอนเนลล์, บ๊อบบี้ คล้าร์ก กลายเป็นที่รู้จักไปเรียบร้อย

ล่าสุดก็ยังเป็น ลูอิส คูมาส กับ เทรย์ นีโอนี่ เด็กวัย 16 ปี 243 วันที่ได้ประเดิมสนามในสีเสื้อลิเวอร์พูลและสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้ทีมหงส์แดงในเอฟเอ คัพ

ข้างสนามเมื่อคืนวันพุธ ยังมี อมาร่า นัลโล่ อยู่อีกคน ดูจากทิศทางที่กำลังเป็นไปแล้ว เซนเตอร์แบ๊กและแบ๊กซ้ายดาวรุ่งที่ดึงตัวมาจาก เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ช่วงต้นฤดูกาลคงจะมีโอกาสได้ประเดิมสนามเหมือนเพื่อนๆ ในเกมใดเกมหนึ่ง

เยอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงมอบความไว้วางใจในตัวเด็กๆ จากทีมเยาวชนของสโมสรในเกมเดิมพันสูงแพ้ตกรอบ แต่มันก็ด้วยเหตุผลที่เข้าใจได้ เพราะทีมมีโปรแกรมเตะถี่ยิบและมีผู้เล่นในทีมชุดใหญ่ได้รับบาดเจ็บหลายคน

ท่ามกลางการลุ้นว่าจะได้เห็นใครสักคนลงเล่นไหม โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ, วาตารุ เอนโด และ โดมินิก โซโบซไล ไม่มีใครมีชื่ออยู่ในทีมเลยสักคน ขณะที่นักเตะเจ็บอยู่เดิมก็ยังมีอีกหลายราย

อลีสซง เบ็คเกอร์, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, เคอร์ติส โจนส์, ติอาโก้ อัลกันตาร่า, ดีโอโก้ โชต้า สมทบกับคนที่เพิ่งจะใช้ร่างกายไปอย่างหนักหน่วงในนัดชิงลีก คัพกับเชลซีเมื่อวันอาทิตย์ หลุยส์ ดิอาซ เล่นเต็มเวลา 120 นาที อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ลุยถึงช่วงท้ายเกม

-------------

การจัดตัวของคล็อปป์ยังคงละเอียดเหมือนเคย เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ไม่ได้เล่นตัวจริงในเอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้เลยใน 2 รอบที่ผ่านมาทั้งรอบสามกับอาร์เซน่อล และรอบสี่กับ นอริช ซิตี้ แต่เกมนี้จำเป็นต้องมีเขา

ทั้งๆ ที่ปราการหลังกัปตันทีมก็เพิ่งจะกรำศึกกับเชลซีมา 120 นาทีเต็มเช่นกัน เป็น 1 ใน 5 คนร่วมกับ ควีวิน เคลเลเฮอร์, เอนโด, ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ และ ดิอาซ ที่ไม่ถูกเปลี่ยนตัวออก (ควอนซาห์ ถูกส่งลงไปแทน อิบราฮิมา โกนาเต้ ในโควต้าเปลี่ยนตัวเพิ่มคนที่ 6 ช่วงต่อเวลาพิเศษ)

เหตุผลอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว เพราะเกมนี้ไม่มีเขาไม่ได้..

คล็อปป์รู้ดีว่าแม้จะได้รับคำชมเชยมากมายและผ่านเวทีใหญ่อย่างเวมบลีย์ในนัดชิงลีก คัพกันมาแล้ว แต่การเล่นต่อหน้าแฟนบอลหกหมื่นชีวิตที่แอนฟิลด์โดยที่ทุกสายตาทั้งในสนามและทั่วโลกจับตามองนั้นอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่คาดฝันขึ้นได้กับเด็กๆ วัยคะนองเหล่านี้

เพราะจากแค่ แบร๊ดลี่ย์ คนเดียวในเกมที่เวมบลีย์เมื่อวันอาทิตย์ (ดาวรุ่งคนอื่นๆ อีก 4 คนคือ คล้าร์ก, แม็คคอนเนลล์, แดนน์ส และ ควอนซาห์ ทยอยถูกส่งลงมาในครึ่งหลังและช่วงต่อเวลา) ลิเวอร์พูลใช้นักเตะที่ดึงขึ้นมาจากอะคาเดมี่ฤดูกาลนี้ลงเล่นตั้งแต่ต้นเกมถึง 5 คนในเกมกับเซาธ์แฮมป์ตันเมื่อคืนวันพุธ

แบร๊ดลี่ย์, ควอนซาห์, คล้าร์ก, แม็คคอนเนลล์ และ คูมาส เป็นตัวจริงทั้งหมด

มีเด็กอะคาเดมี่ซีซั่นนี้ถึงครึ่งทีมในจำนวนผู้เล่นเอ๊าต์ฟิลด์ การปรากฏตัวในสนามของ ฟาน ไดค์ จึงสำคัญมาก

เพราะมันคือบอลน็อกเอ๊าต์แพ้ตกรอบและความกดดันจากการถูกจับตามองมหาศาล การเริ่มต้นที่ขลุกขลักจากเด็กๆ ครึ่งทีมจึงเป็นไปได้ การเล่นที่เกร็งจนผิดพลาดจึงเป็นไปได้ การถูกผู้ใหญ่ชิงเหลี่ยม ดักเหลี่ยม และอาศัยกระดูกเบอร์ใหญ่กว่าเอาชนะในการปะทะกันก็เป็นไปได้

ในแต่ละฤดูกาลมีฟุตบอลรายการหนึ่งที่ฉายภาพความแตกต่างระหว่างบอลเด็กกับบอลผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีครับ นั่นคือศึก อีเอฟแอล โทรฟี่

อีเอฟแอล โทรฟี่ คือฟุตบอลถ้วยของระดับลีกวันและลีกทูที่แต่ละทีมจะส่งชุดใหญ่ลงแข่ง แต่ก็จะมีทีมชุดอายุไม่เกิน 21 ปีของหลายสโมสรในระดับพรีเมียร์ลีกกับแชมเปี้ยนชิพร่วมแข่งด้วย

เด็กต่อให้เก่งและห้าวแค่ไหนก็ยังเป็นเด็ก ความพร้อมทางร่างกาย ประสบการณ์ การตัดสินใจ การรับมือกับสถานการณ์ยังเป็นรองผู้ใหญ่

ทีมอะคาเดมี่ชุดอายุไม่เกิน 21 ปีของทีมดังๆ ในพรีเมียร์ลีกจึงมักจะปราชัยกันถ้วนหน้าในรายการนี้ ก็เพราะกระดูกบอลและเหลี่ยมบอลที่ยังเป็นรองนั่นแหละ นี่คือเรื่องปกติ

การส่ง ฟาน ไดค์ ลงไปก็เพื่อประคองสิ่งต่างๆ เหล่านี้ บรรเทาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย แม้จะทำให้ยอดกัปตันชาวดัตช์ต้องเหนื่อยล้ากว่าที่ควรก็เป็นเรื่องจำเป็น เขาต้องเล่นในเกมนี้ เป็นภาคบังคับที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แล้ว ฟาน ไดค์ ก็ทำให้เห็นว่าเขารับผิดชอบภาระที่ต้องทำได้อย่างยอดเยี่ยม เล่นในจังหวะสำคัญๆ อย่างใจเย็น สั่งการบัญชาเกมอย่างเป็นจอมทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังผ่านช่วงสั่นคลอน 15 นาทีแรกเป็นต้นไป

ประสบการณ์ทำให้ คล็อปป์ มองเห็นจริงๆ ว่าเกมในช่วงแรกมีโอกาสไม่นิ่ง มีความเสี่ยงที่จะเสียบอลจากความตื่นเต้นและความกระชุ่มกระชวยตอนต้นเกมของผู้เล่นทีมนักบุญ เขาต้องการให้ทีมหนักแน่น มั่นคง ไม่แกว่ง และควบคุมเกมให้ได้

มันเป็นอย่างที่กังวลจริงๆ คือช่วงต้นเกมเด็กๆ ของลิเวอร์พูลยังตั้งเกมไม่ได้ ถูกอัด ถูกแย่งบอล ถูกอ่านจังหวะช่วงชิงการครอบครองบอลไปและสร้างโอกาสเข้าทำ 2-3 ครั้ง

เกมเป็นรองชัดเจน.. ลำพังเพียง ฟาน ไดค์ คนเดียวจึงเต็มกลืน แต่โชคดีที่ด้านหลังเขายังมี ควีวิน เคลเลเฮอร์ อีกคนที่ช่วยทำให้ลิเวอร์พูลยังอยู่ในเกม ไม่ถูกยิงนำไปก่อนโดยเฉพาะการป้องกันสำคัญๆ 2 ครั้ง

เมื่อเวลาผ่านไป ขุนพลยังเติร์กเริ่มคลายความตื่นเต้น จับจังหวะเกมของตัวเองและคู่ต่อสู้ได้และเล่นอย่างมั่นใจขึ้น ความผิดพลาดอย่างที่เกิดในช่วง 15 นาทีแรกเริ่มถูกจำกัดให้น้อยลง เกมจึงค่อยๆ กลับมาเท่ากันและพลิกไปเป็นฝั่งลิเวอร์พูลทำได้ดีกว่า

เด็กๆ ของคล็อปป์สู้ได้อย่างเป็นระบบ ทั้งวิ่งเข้าตำแหน่งและขยับตัวสลับพื้นที่กันอย่างเข้าใจเกม บีบเกมสูงในแดนบนอย่างดุดัน อาจจะยังไม่ถึงกับไล่โขยกสร้างโอกาสทำประตูถี่ยิบ แต่เกมอยู่ในความครอบครอง ที่ต้องระวังเหลือเพียงจังหวะตอบโต้ทิ้งบอลยาวโจมตีพื้นที่หลังแนวรับเท่านั้น

และเมื่อ ลูอิส คูมาส ทำประตูขึ้นนำก่อนหมดครึ่งแรกนาทีเดียวจากการลงโทษที่เซาธ์แฮมป์ตันเสียบอล ลิเวอร์พูลก็กลับเข้าห้องแต่งตัวด้วยสถานการณ์ที่คุมได้ทั้งหมด

ช่วงเวลานั้นเองที่เราได้เห็นความละเอียดรอบคอบของ เยอร์เก้น คล็อปป์.. เขาเปลี่ยน โกนาเต้ ลงเล่นแทน ฟาน ไดค์ ก่อนเริ่มครึ่งหลัง นั่นหมายความว่าเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ทีมควบคุมเกมได้ ความเสี่ยงน้อยลงแล้ว เขาก็ทำตามสิ่งที่วางเอาไว้ นั่นคือให้ ฟาน ไดค์ ได้พัก

มันคือการออกแบบของเขามาแต่แรก

อีกคนหนึ่งที่ต้องพูดถึงคือ โจ โกเมซ

เกมนี้ โกเมซ รับบทบาทรุ่นพี่ในแดนกลางเล่นร่วมกับ คล้าร์ก และ แม็คคอนเนลล์ ทำหน้าที่มิดฟิลด์ตัวกำกับจังหวะ บอลจะผ่านที่เขาในการตั้งเกมบุก แจกจ่ายบอลซ้ายขวาหรือกระทั่งวางยาว

เป็นบทบาทที่เราไม่ค่อยได้เห็นนักสำหรับโกเมซ แต่เขาก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตัวเองว่าสามารถตอบสนองความต้องการด้านแท็กติกของคล็อปป์ได้เสมอ

โกเมซปฏิบัติภารกิจของตัวเองในเกมนี้ได้ดี ไม่มีข้อผิดพลาด ทั้งยังใช้ประสบการณ์ช่วยประคองน้องทั้ง 2 คนได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งนับวันก็ยิ่งไม่แปลกใจว่าทำไมคล็อปป์ถึงไม่ยอมปล่อยโกเมซออกจากทีมตามเสียงเรียกร้องประจำปีของแฟนบอลบางคน แถมบางครั้งยังถูกค่อนขอดเสียอีกว่าตามืดบอดมองไม่เห็นนักเตะที่เป็นตัวถ่วงทีม

แดนหลังมี ฟาน ไดค์ แดนกลางมี โกเมซ ขณะที่แดนหน้าก็มี โกดี้ คักโป ประคองน้องทั้ง คูมาส และ เอลเลียตต์ นับเป็นการจัดตัวที่ละเอียดรอบคอบในระดับที่คาดหวังได้ว่าน่าจะ "เอาอยู่" สำหรับเกมนี้

ประตูที่ 2 กับ 3 ในครึ่งหลังจากฝีเท้าของ เจย์เด้น แดนน์ส ที่กลายเป็นขวัญใจคนใหม่อีกคนของเดอะค็อปไปแล้วก็มาจากลักษณะเดียวกับประตูแรก นั่นคือไล่บีบเพรสซิ่งจนแย่งเอาบอลมาได้แล้วจัดการลงโทษ

ความเฉียบขาดในการจบสกอร์ของ แดนน์ส ในประตู 2-0 และเซนส์แห่งการเป็นศูนย์หน้าหาจังหวะเข้าซ้ำในประตู 3-0 เป็นเพียงผลลัพธ์ของการเล่นเพรสซิ่งที่มีประสิทธิภาพ บีบคู่แข่งให้เล่นยาก รุมแย่งบอลตั้งแต่จังหวะแรกหรือดักตัดบอลในจังหวะสอง

การเล่นเพรสซิ่งของเด็กๆ ชุดนี้แม้จะไม่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพอย่างที่รุ่นพี่ในทีมชุดใหญ่ แต่ก็ทำได้อย่างดุดัน กระฉับกระเฉง และเต็มไปด้วยพลัง ถูกคู่แข่งแก้ไขออกมาได้บ้างแต่ที่ทำได้สำเร็จก็มีไม่น้อย โดยเฉพาะในครึ่งหลัง

ระบบยังคงชัดเจนในแบบที่เป็นฟุตบอลของคล็อปป์และลิเวอร์พูล..

ท่ามกลางรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสดใส มันคือชัยชนะที่มองเห็นอะไรมากมายรออยู่ข้างหน้า เป็นชัยชนะที่มากกว่าแค่เกมๆ หนึ่งจริงๆ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport