ในที่สุด แมนฯ ซิตี้ ก็ทำสองแต้มสำคัญหลุดมือไปจนได้จากการเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี ทำศึก พรีเมียร์ลีก เมื่อวันเสาร์ที่ 17 ก.พ.โดยแชมป์เก่าจำเป็นต้องกำชัยชนะเพื่อไล่ตาม ลิเวอร์พูล ทีมจ่าฝูงต่อไปอย่างไม่ลดละ แต่ก็ไม่วายที่พวกเขาจะโดน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง อดีตนักเตะเก่าบุกมาทำแสบซัดประตูให้ สิงห์บลูส์ นำหน้าไปก่อนซึ่งแม้ว่า โรดรี้ จะยิงประตูตีเสมอให้ เรือใบสีฟ้า รอดพ้นจากความปราชัยคารัง แต่มันไม่มากพอที่จะทำให้พวกเขาผงาดไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงซะแล้วต่อให้สามารถกำชัยในเกมตกค้างได้ก็ตาม
1. เรือสลับโผสามรายจากเกมหูใหญ่
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ทีม แมนฯ ซิตี้ เปลี่ยนโผนักเตะตัวจริงสามรายจากเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมนัดแรกที่พวกเขาบุกไปชนะ โคเปนเฮเก้น 3-1 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
หลังมีปัญหาเจ็บกล้ามเนื้อ แจ็ค กรีลิช ปีกทีมชาติ อังกฤษ ลงเล่นไม่ได้ตามคาด และมี เฌเรมี่ โดกู ลงบู๊แทนทางกราบซ้าย
ขณะเดียวกัน แบร์นาร์โด้ ซิลวา มิดฟิลด์อีกรายที่เจ็บจากเกมฟัดกับทีมดังของลีกเดนมาร์คหล่นไปนั่งข้างสนามเช่นเดียวกับ จอห์น สโตนส์ ส่งผลให้ มานูเอล อาคันจี กับ ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ ได้เสียบแทน
จากการได้ลงเล่นเกมนี้ทำให้ดาวเตะทีมชาติ อาร์เจนติน่า รักษาสถิติลงสนามเป็นตัวจริงในเกม พรีเมียร์ลีก ซีซั่นนี้ครบทุกนัดได้ต่อไป และเป็นคนเดียวในทีม เรือใบสีฟ้า ที่มีสถิติในข่ายนี้
2. สิงห์บลูส์ ไร้กองหลังวัยดึก
เชลซี บุกมาเยือน เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยไม่มี ติอาโก้ ซิลวา ตามคาดเนื่องจากเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจอมเก๋าบาดเจ็บจากเกมลีกนัดบุกไปสยบ คริสตัล พาเลซ 3-1 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
รวมแล้ว เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เปลี่ยนขุนพลตัวจริงสองรายด้วยการใช้งาน ลีวาย โคลวิลล์ แทนกองหลังแซมบ้า ขณะที่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้ออกสตาร์ตก่อนหน้า โนเน่ มาดูเอเก้ ที่ตกเป็นตัวสำรอง
นอกจาก สเตอร์ลิ่ง แล้ว โคล พาลเมอร์ เป็นอดีตดาวเตะทีม แมนฯ ซิตี้ อีกรายที่กลับมาเยือนรังเก่าหลังย้ายไปหากินในลอนดอนเมื่อช่วงซัมเมอร์ด้วยค่าตัว 42 ล้านปอนด์ ขณะที่ โรเบิร์ต ซานเชซ นายทวารสแปนิชยังไม่มีส่วนร่วมแม้จะหายเจ็บลงซ้อมได้แล้วก็ตามโดย พอช ให้เหตุผลว่าเขาอยู่ที่บ้านด้วยเหตุผลส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ
3. สเตอร์ลิ่ง สร้างสถิติเด็ดดวง
จากการแผลงฤทธิ์บุกมาสอยตาข่ายทีมเก่าให้ เชลซี ออกนำ 1-0 ในช่วงท้ายครึ่งแรกนาทีที่ 42 ส่งผลให้ สเตอร์ลิ่ง สร้างผลงานเป็นพ่อค้าแช้งรายแรกใน พรีเมียร์ลีก ที่พังประตู เรือใบสีฟ้า อดีตต้นสังกัดได้ทั้งนัดเหย้าและนัดเยือนในซีซั่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น มีนักเตะรายเดียวที่คลำเป้าในเกม พรีเมียร์ลีก ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้มากกว่า สเตอร์ลิ่ง อีกด้วย (52 ประตู) ซึ่งได้แก่ เซร์คิโอ อเกวโร่ อดีตกองหน้า แมนฯ ซิตี้ เอง ( 106 ประตู)
จากผลลัพธ์ของเกมหลังจบ 45 นาทีแรกแสดงให้เห็นว่าเจ้าบ้านทิ้งโอกาสทองไปหลายต่อหลายครั้งก่อนโดนทีเด็ดลูกโต้กลับของเศรษฐีลอนดอนเล่นงานเนื่องจากสถิติบ่งชี้ว่าทีมของ กวาร์ดิโอล่า เหนือกว่าทั้งการครองบอล 68:32% และได้ยิง 14 ครั้งเข้ากรอบ 2 ครั้ง ขณะที่ สิงห์บลูส์ ได้ยิงแค่ 3 ครั้ง แต่เข้ากรอบมากกว่า 3 ครั้งซึ่งหมายความว่าทีมของกุนซืออาร์เจนไตน์จบสกอร์ได้อย่างน่าเกรงขามมากกว่าจากโอกาสที่มีเพียงน้อยนิด ขณะที่การยิงทิ้งยิงขว้างถือเป็นปัญหาใหญ่ที่เห็นได้ชัดในซีซั่นนี้ของทีมทริปเปิ้ลแชมป์
ขณะเดียวกัน แม้เท่าที่ผ่านมา เชลซี จะโชว์ฟอร์มในซีซั่นนี้ได้อย่างเลวร้าย รวมถึงเกมลีกนัดล่าสุดที่บุกไปคว่ำ คริสตัล พาเลซ 3-1 ซึ่งพวกเขายิงเพิ่มสองเม็ดเก็บสามแต้มได้แบบเฉียดฉิวในช่วงทดเวลา แต่กับ แมนฯ ซิตี้ นัดนี้ สิงโตลอนดอน เล่นกันได้อย่างมีแบบแผนสร้างความหนักใจให้กับเจ้าบ้านเป็นอันมากโดยเฉพาะเกมเคาน์เตอร์แอทแทค
4. ไม่ใช่วันของ ฮาลันด์
จนแล้วจนรอด แมนฯ ซิตี้ ยังรักษาสถิติไม่แพ้คารังในเกม พรีเมียร์ลีก ต่อไปเพิ่มเป็น 23 นัดติดต่อกันแล้วหลังได้ โรดรี้ ซัดตีเสมอก่อนหมดเวลาแค่สี่นาทีให้แชมป์เก่ามีผลงานชนะ 18 นัด และเสมอ 5 นัด
ขณะเดียวกัน ประตูของพ่อค้าแข้งสแปนิชยังทำให้ เรือใบสีฟ้า สานต่อสถิติยิงประตูเกมเหย้าในซีซั่นนี้ได้ทุกเกมแบบ 100% เช่นกันแมัลงเอยแล้วพวกเขาจะเก็บเพิ่มได้แค่แต้มเดียวก็ตาม
สำหรับ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ แม้เกมเสมอกับ เชลซี เขาจะมีโอกาสคลำเป้าเหน่งๆหลายครั้ง แต่ศูนย์หน้าร่างยักษ์ยิงทิ้งยิงขว้างไปหมดก่อนที่ทีมจะต้องอาศัยทีเด็ดของ โรดรี้ เอาตัวรอดไปได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้ ฮาลันด์ จึงมีสถิติที่ไม่น่าจดจำเนื่องจากเกมบู๊กับ สิงห์บลูส์ เขามีโอกาสทำประตูทั้งหมด 9 ครั้ง แต่ส่งบอลเข้าปะทะตาข่ายไม่ได้เลยซึ่งเป็นจำนวนตัวเลขที่มากที่สุดในหนึ่งเกมของเขาสำหรับทุกรายการที่สตาร์ผมทองเช็กบิลไม่สำเร็จ
กระทั่งหลังเกมจบลง แมนฯ ซิตี้ เล่นได้ดีขึ้นก็จริงในครึ่งหลังเนื่องจากพวกเขาครองบอลได้มากขึ้นเป็น 71:29% แต่สิ่งที่ เชลซี ยังเหนือกว่าเช่นเดิมคือแม้เจ้าบ้านจะได้ยิงประตูเพิ่มขึ้นรวมทั้งหมด 32 ครั้ง แต่บอลเข้ากรอบแค่ 5 ครั้ง ขณะที่ทีมเยือนได้ตะบัน 9 ครั้ง แต่พวกเขาส่งบอลเข้ากรอบได้มากกว่ารวม 6 ครั้ง
5. ผลลัพธ์สะเทือนไปถึงเวมบลีย์
หากจะบอกว่าทีมของ โปเช็ตติโน่ มีเกมที่ดีที่สุดในซีซั่นนี้ก็คงไม่ผิดนักเพราะพวกเขาเล่นกันได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็นระบบกระทั่งแบ่งแต้มไปจาก แมนฯ ซิตี้ ได้แม้จะเป็นฝ่ายออกนำก่อนก็ตาม
จากผลเสมอ 1-1 กับทีม เรือใบสีฟ้า ผู้จัดการทีมอาร์เจนไตน์เปิดใจหลังเกมว่าสุดภูมิใจที่ลูกทีมสู้กับทีมเบอร์หนึ่งของโลกได้อย่างแข็งขัน และเก็บแต้มสำคัญออกจาก เอติฮัด สเตเดี้ยม ได้หลังจาก เรือใบสีฟ้า มีผลงานชนะรวดในบ้านซีซั่นนี้มาตลอด 11 เกมติดต่อกันของทุกรายการ
วัดจากฟอร์มก่อนหน้านี้ของ เชลซี ที่บุกไปสยบ คริสตัล พาเลซ ได้แบบดูไม่จืด 3-1 เทียบกับเกมเสมอกับ แมนฯ ซิตี้ ต้องบอกว่ามันเป็นคนละเรื่องเลยเพราะแม้พวกเขาจะจม เรือใบสีฟ้า ไม่สำเร็จ แต่ผลงานของนักเตะทุกคนในสนามผิดไปจากเกมเมื่อวันจันทร์ที่ เซลเฮิร์สท์ พาร์ค ลิบลับเนื่องจากเชลซี คว้าชัยไปได้แบบงงๆทั้งๆที่น่าจะเสมอกับ อินทรีผงาดฟ้า มากกว่า
ฉะนั้นแล้วในเมื่ออาจหาญบุกมาสร้างความผิดหวังให้กับ แมนฯ ซิตี้ ได้ เชลซี ก็มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะคิดการณ์ใหญ่ไปถึงเกมชิงชนะเลิศ คาราบาวคัพ ดวลกับ ลิเวอร์พูล ในวันที่ 25 ก.พ.เช่นกันแม้จะถูกมองว่ามีศักยภาพที่ด้อยกว่า หงส์แดง ก็ตาม
ไม่เพียงทีมของ พอช จะฮึกเหิกกันมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยหลังแชร์แต้มไปจาก แมนฯ ซิตี้ ได้ ต้องลืมว่า ลิเวอร์พูล มีข่าวร้ายเพิ่มเตืมอีกเนื่องจากพวกเขาถูกสื่อแฉว่าส่อแววไร้ เคอร์ติส โจนส์ กับ ดีโอโก้ โชต้า ที่บาดเจ็บจากเกมบุกไปยำใหญ่ เบรนท์ฟอร์ด 4-1 ในวันเดียวกัน
เท่านั้นไม่พอ เกมต่อไปของ เชลซี จะเป็นการรอเตรียมความพร้อมฉะกับ เร้ด แมชีน ทันที ขณะที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะต้องเหนื่อยกันต่ออีกนัดในศึก พรีเมียร์ลีก ต้อนรับ ลูตัน วันที่ 21 ก.พ. มันจึงชัดเจนว่า หงส์แดง เป็นฝ่ายเสียเปรียบในแง่ของกำลังวังชาและความสดของนักเตะ