ไม่มีใครรู้จัก เยอร์เก้น คล็อปป์ ดีไปกว่าตัวของเขาเอง
ในวันที่เขารู้ตัวว่าหมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรง หมดแล้วซึ่งพลังที่เคยมี หลังจากนี้ก้าวเดินของเขามีแต่จะลาดลง สวนทางกับทีมที่เต็มไปด้วยอนาคต
ทีมที่เต็มไปด้วยอนาคตที่เขาเป็นคนสร้าง..
แน่นอนครับเราคงยังตกตะลึงและตั้งตัวไม่ทัน หลายคนคงยังรับไม่ได้กับความจริงที่ต้องรับรู้ จาก 2 ปีครึ่งที่เชื่อว่าจะยังอยู่ด้วยกันกลับเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปี แล้วเขาก็จะจากเราไป
มันตั้งตัวไม่ทัน ไม่มีใครตั้งตัวได้ทันหรอกครับ
มีความคิดเห็นมากมายเกิดขึ้นหลังข่าวอันน่าตกใจนี้ บางคนมองไปถึงการทะเลาะกับฝ่ายบริหาร บางคนสงสัยว่ามีปัญหาอะไรบางอย่างภายในเกิดขึ้นไหม แต่ผมคิดว่าเหตุผลนั้นเรียบง่าย และมันบอกอยู่ในบทสัมภาษณ์ของเขาทั้งหมดแล้ว
ก็เพราะเขาหมดเรี่ยวแรงแล้ว.. จริงๆ
การทำทีมฟุตบอลอย่างลิเวอร์พูลนั้นเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล มันถาโถมเข้าใส่ไม่เว้นแต่ละวัน ความคาดหวังมีสูง ยิ่งคุณพาทีมประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ ความคาดหวังก็ยิ่งสูงขึ้น สูงขึ้นเป็นทบทวี
ในทางตรงกันข้ามเมื่อความคาดหวังสูงขึ้น ภูมิต้านทานต่อความผิดหวังย่อมน้อยลง มันแปรเปลี่ยนเป็นแรงปะทะรุนแรงในทุกๆ ครั้งที่ผลการแข่งขันออกมาไม่เป็นดังหวัง
เขาคือด่านแรกเสมอที่ต้องรับมือกับแรงปะทะนั้น การอธิบายถึงฟุตบอลของตัวเองและวิธีการทำงานท่ามกลางความร้อนแรงของการแสดงอารมณ์นั้นทั้งเหนื่อยกายและหน่ายใจ หากเขายังเป็นหนุ่มวัยสี่สิบต้นๆ ก็อาจมีกำลังมากพอที่จะเจอกับมัน
เขาไม่ได้กลัวหรอกที่จะเจอกับเสียงวิจารณ์ ไม่หวั่นสักนิดด้วยซ้ำกับการต้องอธิบายถึงเกมที่ผิดพลาด แต่ในวัย 56 ปีและอยู่ในตำแหน่งกุนซือของทีมที่มีแรงกดดันสูงสุดทีมหนึ่งในโลกอย่างลิเวอร์พูลมาจะ 9 ปีแล้ว มันก็เรียกร้องพลังงานไปจากเขามหาศาลเช่นกัน
90 นาทีที่เราเห็น คล็อปป์ ตะโกนโหวกเหวกโวยวายใส่แพสชั่นสุดขีดน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เขาใช้พลังมากที่สุดในรอบสัปดาห์ แต่มันไม่ได้หมายความว่าช่วงเวลาก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นเขาจะผ่อนคลายสบายๆ สะสมพลังไว้ปลดปล่อยในวันแข่งอย่างเดียว
ไม่ใช่เลย เขาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากทุกๆ ทาง วางแผนรับมือคู่แข่ง ประชุมทีมสตาฟฟ์ กำชับนักเตะรายคน พูดคุยกับฝ่ายบริหาร ทำงานร่วมกับผู้อำนวยการฟุตบอล ร่วมงานกิจกรรมของสโมสร ตอบคำถามนักข่าว ตอบคำถามแฟนบอล ตอบคำถามคนนั้นคนนี้คนนู้น
แล้วด้วยแนวคิดของเขา ด้วยแนวทางการทำงานของเขา มีคำถามที่ต้องตอบมากมายเพราะมันขัดต่อความรู้สึกของแฟนบอลและสื่อ แค่ต้องตอบคำถามที่ไม่เคยหยุดหย่อนว่าทำไมถึงไม่ซื้อนักเตะคนนั้น ทำไมถึงไม่ยอมจ่ายเพื่อนักเตะคนนี้ ทำไมถึงได้ทนใช้อยู่ได้กับนักเตะคนนู้น ผมคิดว่าก็ต้องเสียพลังไปเยอะพอดู
แล้วเขาต้องเจอเรื่องเหล่านี้มาตลอด 8-9 ปีของการทำงาน
แน่นอนครับมันคืองานที่ผู้จัดการทีมทุกคนต้องเจออยู่แล้ว แต่สำหรับทีมใหญ่อย่างลิเวอร์พูล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ อาร์เซน่อล ที่มีแฟนบอลทั่วโลกมากมาย แรงกดดันและคำถามก็ยิ่งมากขึ้น รุนแรงขึ้น หนักหน่วงขึ้น
ในทุกๆ ครั้งผมเห็น คล็อปป์ สามารถรับมือกับคำถามต่างได้อย่างสบาย มีหงุดหงิดบ้างแต่ก็ถ่ายทอดแนวคิดในการทำงานออกไปได้อย่างชัดเจน ตรงเป้า ไม่อ้อมค้อม และกลับทำให้อีกฝ่ายต้องคิดว่าเราเอาแต่ใจตัวเองเกินไปไหม
แต่การรับมือกับคำถามต่างๆ ได้เป็นอย่างดีนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องใช้พลังงานในการต่อสู้เลย หลายครั้งมันก็บั่นทอนความมุ่งมั่นเหมือนกัน
เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะมันย่อมมีอะไรอื่นอีกที่ประกอบกันขึ้นจนเป็นที่มาของการตัดสินใจในครั้งนี้ โดยเฉพาะความเครียดที่ต้องดูแลทีมให้พร้อมที่สุดในการต่อสู้ มันสะสมจากสัปดาห์เป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นหลายปี
มันเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน คนเป็นผู้จัดการทีมย่อมต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้และต้องรับมือกับมันซึ่งคล็อปป์ไม่เคยหนี ไม่เคยหันหลังให้ แต่จะตอบทุกคำถามที่เกิดขึ้นด้วยคำพูดที่แหลมคมราวกับใช้เวลากลั่นกรองมันมาเป็นเดือนๆ
หลายครั้งหรือจะว่าไปคือเกือบทุกครั้งที่ผมต้องทึ่งกับการตอบคำถามของเขา มันคือคำตอบของคนที่ฉลาด ฉลาดทั้งความคิด ฉลาดทั้งการเลือกใช้คำพูด ฉลาดทั้งลูกล่อลูกชน เขาคือผู้จัดการทีมที่ตอบคำถามได้เฉียบขาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา และผมก็ชอบเขามาก
ภูมิใจที่ทีมรักมีผู้จัดการทีมอย่างนี้ คนที่สามารถต่อกรกับคำถามยากๆ ได้ดี เอาคืนคำถามที่ล้ำเส้นได้อย่างถึงใจ และถ่ายทอดแนวทางการทำงานของสโมสรได้อย่างชัดเจน มีน้ำหนัก อุดมไปด้วยเหตุผลครบถ้วน ทั้งยังอาจมีการตั้งคำถามกลับไปเสียอีก
ผมโคตรรักการตอบคำถามนักข่าวของคล็อปป์ ใจหายเหมือนกันที่หลังจากฤดูกาลนี้จะไม่ได้เห็นการตบนิ่มๆ แบบนี้อีกแล้ว (เอิ่ม.. บางทีก็ตบแรงอยู่เหมือนกันนะ HA)
คงไม่มีเดอะค็อปคนไหนที่ไม่หลงรักเขา
ถ้าเป็นเพียงเรื่องความสำเร็จแบบโทรฟี่แชมป์ คงไม่มีคนรักเขามากมายขนาดนี้และคงไม่มีคนฟูมฟายใจหายกับการจะต้องเห็นเขาจากไปมากมายแบบนี้
ก็เพราะ เยอร์เก้น คล็อปป์ ไม่เพียงแค่นำเอาความสำเร็จในสนามมาให้ลิเวอร์พูล นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง หากเขายังนำเอาอะไรอีกหลายอย่างมาให้กับทีมนี้ สโมสรนี้ และเมืองนี้ด้วย
เขาทำให้ทีมฟุตบอลยักษ์หลับทีมหนึ่งฟื้นคืนชีพกลับมาอาละวาดด้วยเกมที่ดุดัน ตื่นตาตื่นใจ เต็มไปด้วยพลัง
เขาทำให้ลิเวอร์พูลมีแคแร็กเตอร์แห่งผู้ชนะ มีบุคลิกพิเศษไม่เหมือนใคร สู้ยิบตา ไม่ยอมแพ้ ไม่ทิ้งความหวัง และทำให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทุกอย่างเป็นไปได้เสมอขอเพียงอย่าถอดใจ
เกมถล่มบาร์เซโลน่า 4-0 เมื่อปี 2019 คือเพชรยอดมงกุฏในเรื่องนี้ มันคือตัวตนแห่งความเป็นลิเวอร์พูลในยุคของเขา
"งานนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทางเลย แต่เพราะผมมีพวกคุณไง ผมถึงเชื่อว่ามันเป็นไปได้.. เพราะผมมีพวกคุณ"
ได้ยินเจ้านายพูดอย่างนี้ มีใครจะไม่วิ่งลืมตายบ้าง
เขาทำให้ความเป็น Liverpool way ชัดยิ่งขึ้น ท่ามกลางกระแสเชี่ยวกรากของตลาดนักฟุตบอลถาโถม เขายึดมั่นในแนวทางที่ตัวเองเห็นว่าเหมาะสม การซื้อนักฟุตบอลแพงๆ ไม่ใช่คำตอบของทั้งหมด การซื้อคนที่ถูกต้องที่สุดต่างหากคือสิ่งที่ควรทำ
ไม่ใช่ปฏิเสธการซื้อ แต่ต้องซื้อให้ฉลาด ซื้อให้ตรงกับความต้องการจริงๆ และถ้ามีคนในที่มีศักยภาพเพียงพอ บางทีอาจไม่จำเป็นต้องซื้อตามเสียงเรียกร้องก็ได้
การทำงานของคล็อปป์สอดคล้องกับแนวทางของฝ่ายบริหาร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เผ็ดร้อนเรื่องการใช้เงิน เขาปกป้องแนวทางที่สโมสรทำอยู่มาตลอด เพราะเขาเองก็ศรัทธาในวิธีการนั้น เขาถึงรับงานที่ลิเวอร์พูล
นี่คือเขา นี่คือการทำงานของเขา เขาทำให้เราหลายคนเข้าใจถึงการซื้อที่ฉลาดและการใช้เงินที่เหมาะสมไม่เกินตัว เรามีทางออกมากมายในการแก้ปัญหาผู้เล่น ไม่ใช่เอาแต่ซื้อนักเตะที่ราคาพุ่งกระฉูด มันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำงานหนักเพื่อวิเคราะห์หาคนที่เหมาะที่สุด มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ต้องการที่สุด ต้องใช้เวลามองหาหน่อยแต่รับรองว่าคุ้มค่าเงินที่จ่ายไปทุกเพนนี เขาคนนั้นอาจไม่ใช่นักฟุตบอลชื่อเสียงระดับโลก แต่เชื่อเถอะว่าถ้ามาเล่นให้ลิเวอร์พูลจะก้าวไปสู่ระดับโลกได้แน่
ซาลาห์ ฟาน ไดค์ มาเน่ โรเบิร์ตสัน อลีสซง โชต้า หรือเด็กดาวรุ่งจากอะคาเดมี่ของสโมสรอย่าง เทรนต์ ที่ทีมไม่ต้องเสียสตางค์สักแดง
นักเตะเหล่านี้คือคำตอบของการทำงานแบบคล็อปป์ นี่เป็นอีกเรื่องที่เขานำมาสู่ทีมและจะฝากมันไว้เป็นมรดกให้กับเรา
เหนือไปกว่านั้น เขายังเข้ามาเปลี่ยนความสงสัยทั้งหลายทั้งปวงให้กลายเป็นความเชื่อ
นี่ไม่ใช่งานง่าย และเขาใช้คำที่เฉียบคมตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน.. You have to change from Doubter to Believer.
คุณคงไม่รู้หรอกว่าคำพูดนั้นแทงทิ่มตรงเข้ากลางใจเราขนาดไหน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เดอะค็อปอย่างเราในวันนั้นมีแต่ความสงสัย สงสัยในทีม สงสัยในผู้เล่น สงสัยในทิศทางที่กำลังเป็นไป สงสัยในอนาคต
เปลี่ยนมันซะ.. เปลี่ยนความสงสัยให้เป็นความเชื่อซะ เชื่อผม แล้วคุณจะเห็นเองว่ามันมีพลังแค่ไหน
9 ปีผ่านมาจนถึงวันนี้ พวกเราเห็นแล้ว มันมีพลังอย่างมหึมาจริงๆ เพียงแค่เราเปลี่ยนแนวคิดอย่างที่เขาพูด จงเชื่อมั่น..
คุณูปการที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้กับสโมสรมีทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มันทรงคุณค่าทั้งหมด บางครั้งเราเห็น หากหลายๆ ครั้งมันเป็นการสัมผัสได้
สัมผัสได้ถึงพลังของเขา สัมผัสได้ถึงความพิเศษของเขา สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของเขา
เรื่องหนึ่งที่คล็อปป์พูด.. เขารักลิเวอร์พูลเหลือเกิน
รักทีมนี้ รักสโมสรนี้ รักแฟนบอลทีมนี้ รักเมืองๆ นี้
เขาคงไม่รักทีมๆ นี้ไม่ได้หรอก.. เพราะเขาสร้างมันขึ้นมาเอง ผ่องถ่ายจากยุคแรกสู่ยุค 2.0 ด้วยตัวเอง นักเตะทุกคนเสมือนเป็นลูกของเขา
เขาคงไม่รักสโมสรนี้ไม่ได้เช่นกัน.. สโมสรที่มีแนวทางสอดคล้องกับวิธีการทำงานของเขา สโมสรที่ให้การสนับสนุนเขา ให้อิสระในการทำงาน ไม่เคยล้วงลูกสร้างความวุ่นวายให้เขา
เขาคงไม่รักแฟนบอลทีมนี้ไม่ได้แน่ๆ.. ความรักที่เขามีต่อเดอะค็อปนั้นชัดเจน เขาคิดถึงเราเสมอ คำนึงถึงความรู้สึกของเราเสมอ เขาพูดอยู่ตลอดว่าเข้าใจดีถึงความต้องการของแฟนบอล แต่เขาสอนเรา แนะนำเราทั้งโดยตรงและทางอ้อมถึงการสนับสนุนทีมในวิถีทางแบบที่ควรจะเป็น
หรืออย่างน้อยก็ในแบบที่เขาเป็น ไม่ไหลไปตามกระแสเชี่ยวกรากของอารมณ์และความโลภ ถ้าเขายังอยู่ แนวทางจะเป็นอย่างนี้ ขอให้เชื่อเถิดว่ามันยั่งยืนกว่า มั่นคงกว่า
และเขาคงไม่รักเมืองนี้ไม่ได้.. เพราะเมืองนี้มอบความรักให้เขา มอบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้เขา มอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้เขา
Normal one.. เพราะสำหรับเขาแล้ว เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง และการที่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ มันน่าเหลือเชื่ออย่างมากแล้ว
เขาบอกว่างานคุมทีมลิเวอร์พูลคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขา การได้มีโอกาสทำงานนี้เป็นเหมือนเทพนิยายสำหรับคนธรรมดาๆ อย่างเขา
เขาบอกว่าเขาภูมิใจมากที่ได้เป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของเมืองลิเวอร์พูล มันเป็นเกียรติประวัติที่ล้ำค่าจริงๆ สำหรับคนธรรมดาๆ อย่างเขา
เขาบอกว่าเขาซาบซึ้งและขอบคุณในความรักที่เดอะค็อปมีให้กับเขา คอยอยู่ตรงนั้นเพื่อมอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้เขาเสมอ มันเป็นเรื่องเกินคาดสำหรับคนธรรมดาๆ อย่างเขา
และเพราะความรักทั้งหมดที่มีให้ลิเวอร์พูลนั่นแหละ.. ทำให้เขาต้องลา
เพราะเขารู้จักตัวเองดีที่สุด เขารู้ตัวว่าหมดแล้วซึ่งเรี่ยวแรง หมดแล้วซึ่งพลังที่เคยมี
หลังจากนี้ก้าวเดินของเขามีแต่จะลาดลง สวนทางกับทีมที่เต็มไปด้วยอนาคต
ทีมที่เต็มไปด้วยอนาคตที่เขาเป็นคนสร้าง..
เพราะเขารักลิเวอร์พูลอย่างที่สุด เขาจึงต้องไป ไปในตอนนี้ที่เริ่มรู้ตัว ดีกว่าฝืนเดินต่อโดยที่รู้ผลลัพธ์ในบั้นปลายว่าเขาจะหมดพลังไปยิ่งกว่านี้
ไปโดยที่เตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้วสำหรับคนใหม่ที่จะเข้ามาพร้อมพลังใหม่ๆ ผลักดันซึ่งกันและกันไปข้างหน้าได้ดีกว่าเขาที่กำลังหมดแรง
เขาพูดทุกอย่างชัดเจน มันชัดเสียยิ่งกว่าชัด มีเขาเพียงคนเดียวที่รู้ว่ารถสปอร์ตที่กำลังวิ่งแรง 200-300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงคันนี้น่ะกำลังจะน้ำมันหมด
ถ้าเขาคิดถึงตัวเอง เขาจะอยู่ต่อก็ได้ สัญญาของเขากับสโมสรมีไปถึงปี 2026
ถ้าเขาไม่รักทีมๆ นี้ เขาจะทำงานต่อไปก็ได้ ไม่ต้องฝืนความรู้สึกด้วยเพราะเขารักทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่
แต่เพราะเขารู้ดีว่าก้าวเดินนี้จะไปจบตรงไหน เขาจึงต้องตัดใจ ทิ้งความรักไว้ แล้วเลือกเหตุผล
Normal one เอย Normal one.. กระทั่งวันที่กล่าวคำร่ำลา คุณก็ยังยิ่งทำให้เรารักคุณ
นี่แหละครับ คนธรรมดาๆ อย่าง เยอร์เก้น คล็อปป์ คุณโคตรเป็นคนธรรมดาที่ยิ่งใหญ่เลย ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วสำหรับความรักอย่างจริงใจที่ผู้ชายคนนี้มีต่อลิเวอร์พูล
ขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วงเวลาที่เหลือเราจะใส่พลังทั้งหมดไปกับคุณ ขาดเหลืออยู่เท่าไหร่ พวกเราจะเติมมันให้ล้น ไม่ต้องห่วง
ลุยกันไปให้สุดครับ พร้อมถลกแขนเสื้อแล้ว เพื่อคุณ.. The Greatest Normal One ของพวกเรา
ตังกุย