ตอนที่ ลิเวอร์พูล ประกาศได้ วาตารุ เอ็นโด มาจาก เฟาเอฟเบ สตุ๊ตการ์ท ด้วยค่าตัว 16 ล้านปอนด์เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ปีก่อนนั้น หลายคนไม่ได้ตั้งความคาดหวังกับเขามากนัก เพราะถึงแม้เขาจะเป็นกองกลางตัวรับซึ่งเป็นตำแหน่งที่ "หงส์แดง" ขาดอยู่ในตอนนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นเหมือนแผน "C" ของทีม หลังจากก่อนหน้านั้น ลิเวอร์พูล จริงจังกับการล่าตัว มอยเซส ไกเซโด้ และ โรเมโอ ลาเวีย มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ เอ็นโด กลายเป็นหนึ่งในขวัญใจของ "เดอะ ค็อป" ไปแล้ว หลังจากที่เขาทำผลงานได้โดดเด่นจนล่าสุดถึงขั้นได้รับเลือกให้เป็นนักเตะชายยอดเยี่ยมของ ลิเวอร์พูล ประจำเดือนธันวาคม และแฟนบอล ลิเวอร์พูล หลายคนเสียดายกันสุดๆ ที่เขาต้องไปเล่นกับทีมชาติญี่ปุ่นในศึก เอเชียน คัพ 2023 จนทำให้จะอดช่วยทีมของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไปสักพัก
หนึ่งในสิ่งที่เป็นหลักฐานว่า เอ็นโด เป็นฟันเฟืองสำคัญชิ้นหนึ่งของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้ก็คือผลงานของทีมระหว่างตอนที่เขาได้ลงเล่นกับตอนที่ไร้เงาของเขา โดยฤดูกาลนี้ เอ็นโด ได้ลงเล่นในลีกทั้งในฐานะตัวจริงและตัวสำรองไป 15 นัด และ ลิเวอร์พูล ก็คว้าชัยชนะได้ถึง 11 เกม คิดเป็น 73.3% ในทางกลับกัน จาก 5 เกมที่เขาไม่ได้ลงสนามนั้น ลิเวอร์พูล ชนะแค่ 2 นัด คิดเป็น 40%
นอกจากนี้ ลิเวอร์พูล ยังทำได้รวม 34 ประตูในช่วงที่ดาวเตะเลือดซามูไรโลดแล่นอยู่ในสนาม คิดเป็นค่าเฉลี่ย 2.3 ประตูต่อนัด ขณะที่ตอนไม่มีเขาทีมยิงได้เพียง 9 ลูก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 1.8 ลูกต่อเกมเท่านั้น
ในด้านประตูที่เสียนั้น เอ็นโด ทำหน้าที่ในเกมรับได้ดีจนทำให้ทีมเสียไปเพียง 13 ลูก คิดเป็นค่าเฉลี่ย 0.9 ลูกต่อนัด ขณะที่ตอนไร้เงาของเขาทีมเสียไป 5 ประตู หรือเท่ากับค่าเฉลี่ย 1 ลูกต่อเกมพอดิบพอดี ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ ลิเวอร์พูล จะมีค่าเฉลี่ยได้แต้มดีกว่าตอนที่ เอ็นโด ได้ลงเล่น ด้วยตัวเลข 2.4 คะแนนต่อนัด ส่วนตอนไม่มีเขานั้นทีมเก็บได้ 1.8 แต้มต่อเกม
เปรียบเทียบผลงานของ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2023-24 ระหว่างมี วาตารุ เอ็นโด กับตอนไม่มี
เอ็นโด ลงเล่น | เอ็นโด ไม่ลงเล่น | |
15 | จำนวนนัด | 5 |
11 | ชนะ | 2 |
3 | เสมอ | 3 |
1 | แพ้ | 0 |
34 | ประตูที่ทำได้ | 9 |
2.3 | ค่าเฉลี่ยประตูที่ทำได้ต่อ 1 นัด | 1.8 |
13 | ประตูที่เสีย | 5 |
0.9 | ค่าเฉลี่ยประตูที่เสียต่อ 1 นัด | 1.0 |
73.3% | เปอร์เซ็นต์ชนะ | 40% |
2.4 | แต้มที่เก็บได้เฉลี่ยต่อ 1 นัด | 1.8 |
ในขณะที่ถ้าไปเปรียบเทียบกับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ คนที่จองตำแหน่งกองกลางตัวรับตัวจริงของ ลิเวอร์พูล ในฤดูกาลนี้ก่อนหน้า เอ็นโด นั้น ดาวเตะชาวญี่ปุ่นมีผลงานในระดับที่สูสีกับแข้งดีกรีแชมป์ ฟุตบอลโลก 2022 เลยทีเดียว
เอ็นโด มีเปอร์เซ็นต์การเข้าสกัดแม่นยำกว่า แม็ค อิลลัสเตอร์ หลังเขาทำได้ 55.9% ส่วนอีกฝ่ายทำได้ 54.6% แถมยังตัดบอลแบบไม่ต้องพุ่งเสียบได้ดีกว่าด้วยจากค่าเฉลี่ย 1.5 ครั้งต่อนัด ขณะที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำได้ 1.3 หนต่อเกม
ถึงแม้ว่า เอ็นโด จะมีด้านที่ทำได้แย่กว่า แต่มันก็ไม่ถือว่าต่ำกว่าของ แม็ค อัลลิสเตอร์ มากนัก อย่างเช่นค่าเฉลี่ยการเข้าสกัดต่อเกมที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำไป 2.3 ครั้งต่อเกม ส่วนของ เอ็นโด ทำไป 2.2 ครั้งต่อนัด หรือการแย่งบอลมาครองที่ แม็ค อัลลิสเตอร์ ทำได้ 7.2 ครั้งต่อเกม ในขณะที่ เอ็นโด ทำได้ 6.8 หนต่อนัด เป็นต้น
เปรียบเทียบผลงาน วาตารุ เอ็นโด กับ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ในการลงเล่นทุกรายการให้ ลิเวอร์พูล ฤดูกาล 2023-24
เอ็นโด | แม็ค อัลลิสเตอร์ | |
1,377 | จำนวนนาทีลงเล่น | 1,300 |
2.2 | ค่าเฉลี่ยการเข้าสกัดต่อ 1 นัด | 2.3 |
55.9% | ความแม่นยำในการเข้าสกัด | 54.6% |
1.5 | ค่าเฉลี่ยการตัดบอลต่อ 1 นัด | 1.3 |
6.8 | ค่าเฉลี่ยการแย่งบอลได้ต่อ 1 นัด | 7.2 |
0.9 | ค่าเฉลี่ยการแย่งบอลในพื้นที่สุดท้ายต่อ 1 นัด | 0.8 |
10.9 | ค่าเฉลี่ยการเสียบอลต่อ 1 นัด | 11.5 |
64.4 | ค่าเฉลี่ยจำนวนครั้งการผ่านบอลต่อ 1 นัด | 66.7 |
88.1% | เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำในการผ่านบอล | 87.5% |
2.2 | ค่าเฉลี่ยการผ่านบอลขึ้นหน้าตอนโดนกดดันต่อ 1 นัด | 5.6 |
ขณะเดียวกัน ในซีซั่นนี้ เอ็นโด ถือเป็นกองกลาง ลิเวอร์พูล ที่ทำผลงานในลูกกลางอากาศได้ดีที่สุดหากนับเฉพาะคนที่มีค่าเฉลี่ยการดวลลูกกลางอากาศเป็นอย่างน้อย 3.6 ครั้งต่อ 90 นาทีด้วย เพราะเขาเอาชนะชอตกลางเวหาได้ถึง 1.9 ครั้งต่อ 90 นาที โดยถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับกองกลางของทุกทีมใน พรีเมียร์ลีก ที่ลงเล่นอย่างน้อย 500 นาทีแล้วล่ะก็ มีเพียง 8 คนที่ทำได้ดีกว่าเขา
แน่นอน การไปเล่นศึก แอฟริกัน คัฟ ออฟ เนชั่นส์ กับทีมชาติอียิปต์ของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถือเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับ ลิเวอร์พูล แต่การหายไปของ เอ็นโด ก็เป็นประเด็นที่ต้องจับตามองเช่นกัน
- เด็กเกร็ดบอล -