ภาพรวมชุ่มชื่น มีติบางคน! เมื่อ ลิเวอร์พูล ชนะในเกมที่ควรชนะ

ภาพรวมชุ่มชื่น มีติบางคน! เมื่อ ลิเวอร์พูล ชนะในเกมที่ควรชนะ
เกมระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ยังคงการันตีความเข้มข้นถึงใจ

ดราม่าฉูดฉาด..

ย้อนกลับไปในเกมที่พบกันนัดแรกฤดูกาลนี้ ดาร์วิน นูนเญซ สวมบทซูเปอร์ซับเปลี่ยนตัวลงมาซัด 2 ประตูให้หงส์แดงที่เหลือสิบคนแซงพิชิต 2-1 ควักสามคะแนนกลับบ้าน

หรือเกมแห่งความทรงจำกับทีมสาลิกาดงในช่วงกลางทศวรรษ 1990 แอนฟิลด์ก็บ้าคลั่งด้วยประตูชัย 4-3 ช่วงทดเวลา 2 ปีซ้อนๆ

ทำกับ เควิน คีแกน ครั้งนึง แล้วมาทำกับ เคนนี่ ดัลกลิช อีกครั้งนึง

หรือจะเป็นยุคทองของ ไมเคิ่ล โอเว่น ในช่วงรอยต่อทศวรรษ 1990 เข้าสู่ 2000 ที่ชื่อเบบี้โกล์คือของแสลงของนิวคาสเซิ่ลโดยแท้ กดแฮตทริกได้ทั้งที่แอนฟิลด์และเซนต์ เจมส์ พาร์ค แล้วยังตะบันสองลูกทั้งที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค และ แอนฟิลด์..

ด้วยฟุตบอลของทั้งสองทีมเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร เจอกันเมื่อไหร่จึงมักจะมีการทำประตูให้เห็นอยู่เสมอ การพบกันของคู่นี้มีเสมอ 0-0 เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้นในรอบ 50 ปี

ผลเสมอแบบไม่มีประตูที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค ในเกมส่งท้ายปี 2020 คือเกมแรกนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1974 ที่คู่นี้เสมอกัน 0-0

50 ปี.. 76 เกมลีก.. 82 เกมในทุกรายการ.. เสมอ 0-0 แค่หนเดียว

ยิ่งถ้าเป็นที่แอนฟิลด์ ผลเสมอแบบไม่มีประตูกับนิวคาสเซิ่ลครั้งล่าสุดยิ่งต้องย้อนขึ้นไปนานกว่านั้นอีก มันคือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ปี 1970 หรือเมื่อ 54 ปีที่แล้ว

เพราะฉะนั้นคู่นี้รับประกันได้เลยว่าจะดีจะแย่เราได้เห็นการทำประตูกันแน่

แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครึ่งแรกอาจจะยัง 0-0 แต่กลับมาเล่นกันในครึ่งหลังทำนบก็ทลาย ประตูหลั่งไหลจนแทบนับไม่ทันก่อนไปจบที่ 6 ลูก

-----------------------

ก่อนลงเตะเกมนี้ลิเวอร์พูลเอาชนะนิวคาสเซิ่ลมา 5 เกมติดต่อกัน

ด้วยสถานการณ์ที่นำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก โอกาสในการฉีกหนีอาร์เซน่อล ผลงานและสภาพทีมที่ย่ำแย่ของนิวคาสเซิ่ล รวมทั้งการได้เล่นในแอนฟิลด์ ทำให้มีความรู้สึกมั่นใจแผ่ซ่านอยู่ลึกๆ

เดอะค็อปก็คงคาดหวังถึงชัยชนะ แม้จะรู้ดีว่าห้ามประมาทเด็ดขาด

สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมสำหรับเกมนี้ก็คือลิเวอร์พูลเล่นได้ดุดันตลอดทั้งเกม ความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะแรงกล้ามาก การตอบสนองของนักเตะในสนามอยู่ในระดับทะลักปรอททั้งหมด

วิ่งเข้าใส่ บีบพื้นที่ ไล่แย่งบอล กดดันนักเตะทีมเยือนไม่ให้เล่นง่าย รวมทั้งตัดเกมทันควันเมื่อฝั่งนิวคาสเซิ่ลทำท่าจะตั้งหลักต่อบอลทำเกมได้

เป็นเกมที่น่าเห็นใจผู้เล่นสาลิกาดง มันยากจริงๆ ที่จะเล่นในเกมของตัวเองเมื่อเจอกับความตื่นตัวรุนแรงอย่างนั้นแทบจะตลอดเวลา

เกมเป็นของลิเวอร์พูลเบ็ดเสร็จด้วยความดุดันเกินร้อย แต่ปัญหาคือพวกเขาเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูไม่ได้เลย ทั้งด้วยความเหนียวหนึบของ มาร์ติน ดูบราฟก้า และการโยนโอกาสทิ้งกันไปเอง

ดาร์วิน นูนเญซ คือคนที่หนีเสียงวิจารณ์ไม่พ้นแน่นอน เขาอาจจะผ่านบอลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ยิงปลดล็อกในครึ่งหลังแต่ในภาพรวมแล้ว สีหน้าตื่นๆ ของเขาตอนที่ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามบอกทุกอย่างได้ดี

เขาเองก็คงผิดหวังกับผลงานของตัวเอง ทุกอย่างดีหมดเหมือนเดิม แต่ล้มเหลวในจังหวะสุดท้ายเหมือนเดิม และทิ้งโอกาสทองที่จะส่งบอลเข้าไปซุกก้นตาข่ายเหมือนเดิม

ความกดดันที่ทำท่าจะถูกยกออกไปได้บ้างหลังพังประตูใส่เบิร์นลี่ย์ได้ในเกมล่าสุดและเตรียมต่อยอดความมั่นใจด้วยเกมนี้ แทบจะกลายเป็นต้องเริ่มต้นกันใหม่ ความเครียดกดทับอีกครั้ง

ภาพแบบนี้ติดตัวดาร์วินเข้าไปทุกทีจนเราอาจจะพูดได้ด้วยซ้ำว่านี่เป็น "เกมแบบดาร์วิน" คือยิงไม่เข้าในจังหวะที่ควรเป็นประตู ไม่นิ่ง ไม่แน่นอน ล้มเหลวในจังหวะสำคัญ

ไม่ดีแน่ๆ ถ้าเขายังไม่สามารถสลัดมันหลุดได้อย่างเด็ดขาดแบบนี้

แฟนลิเวอร์พูลก็คงต้องเอาใจช่วยเขามากหน่อย อาจจะน่าหงุดหงิดเตะเก้าอี้ถีบโต๊ะทุบทีวีแต่ตราบใดที่เขายังได้รับความไว้วางใจจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ ให้ลงสนาม มันก็ยังต้องเชียร์กันไป

อย่างน้อยในเรื่องที่ดีก็คือขุมกำลังแนวลึกของเกมรุกเวลานี้ดีเยี่ยม ทุกคนฟิตสมบูรณ์ดี ดีโอโก้ โชต้า กับ โกดี้ คักโป ที่ลงมาเป็นตัวสำรองในเกมนี้ก็มีอิทธิพลกับเกม คนหนึ่งผ่านให้ เคอร์ติส โจนส์ ยิง 2-1 และเรียกจุดโทษประตู 4-1 อีกคนจัดการประตู 3-1

ยังไม่รวมตัวสำรองที่มีบทบาทกับเกมอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ อีกคนด้วย จังหวะหลุดเดี่ยวของโชต้าไปเรียกจุดโทษช่วงท้ายเกมก็มาจากการผ่านบอลทะลุตรงๆ ของกองกลางอาร์เจนไตน์

ผมคิดว่าคล็อปป์ใช้นักเตะของเขา "ทั้งทีม" นำพวกเขาเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างเกมกับนิวคาสเซิ่ลนี้มันก็บอกไม่ได้หรอกนะครับว่าถ้าใช้ โชต้า กับ คักโป เป็นตัวจริงแล้วจะเป็นอย่างไร ทั้งสองคนอาจเจองานยากกว่านี้ก็ได้

เกมนี้ทั้งคู่ลงสนามในครึ่งหลัง แม้สถานการณ์จะกดดันแต่ความสดชื่นเต็มที่ เป้าหมายชัดเจนลุยแหลกเพื่อทำประตู ขณะที่คู่ต่อสู้เหนื่อยล้าและต้องปรับเกมป้องกันเพื่อรับมือมิติเกมบุกที่เปลี่ยนไปฉับพลันเพราะคล็อปป์เปลี่ยนตัวรวดเดียว 3 คน มี ไรอัน กราเฟนแบร์ค อีกคนที่ลงสนามมาพร้อมๆ กันในนาทีที่ 64

บางทีเกมรุกของคล็อปป์ที่กดนิวคาสเซิ่ลได้สำเร็จในนัดนี้อาจไม่ได้มาจากโชต้ากับคักโปรวมทั้งซาลาห์ทั้งหมด แต่มาจากทุกคนในทีมรวมทั้ง ดาร์วิน และ หลุยส์ ดิอาซ ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปด้วย

ทั้งคู่ช่วยวิ่งไล่บอล ลากเลื้อยเข้าใส่ เบียดชนปะทะกองหลังทีมเยือนตลอด 64 นาทีที่อยู่ในสนามจนลดทอนกำลังของอีกฝ่ายให้อ่อนลงไปบ้างไม่มากก็น้อย

11 ตัวจริงของคล็อปป์ไม่มีปัญหาอะไรเลยกับการสร้างเกมและสร้างโอกาส เพียงแค่ประตูเท่านั้นที่ไม่มา และคล็อปป์ก็ต้องปรับแก้ต่อด้วยการใช้ผู้เล่นให้มากขึ้นซึ่งเขาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เกมนี้เขาใช้นักเตะ 15 คนในการเข่นนิวคาสเซิ่ล ตึงมือตึงใจไปบ้างแต่ก็ทำได้ตามเป้าหมาย

แต่มันแน่นอนอยู่แล้วครับว่าทุกอย่างจะดียิ่งกว่านี้และงานจะง่ายกว่านี้มากถ้าดาร์วินจบหน้าที่ตัวเองด้วยประตูที่เขาควรจะมี ตรงนี้หัวหอกอุรุกวัยคงปฏิเสธความรับผิดชอบของตัวเองไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าของเขาตอนถูกเปลี่ยนตัวออกก็ยิ่งน่าเห็นใจ อยากให้เขาเอาชนะกำแพงความกดดันนี้ให้ได้สักที

เมื่อนำผลงานมาเปรียบเทียบกัน ความลักลั่นของดาร์วินกับความเด็ดขาดของโชต้านั้นยิ่งมองเห็นกันชัดเจน และไม่น่าแปลกใจถ้าจะมีเสียงเรียกร้องมากขึ้นให้พักเขาก่อนเพื่อเปิดทางให้ดาวเตะโปรตุกีสเล่นแทน

ฝั่งนิวคาสเซิ่ลนั้นน่าชมเชยความอดทนและระเบียบวินัยที่ช่วยกันเล่น ช่วยกันปิดช่อง ไล่บอล ซ้อนบอล ถูกบีบจนเล่นยากเกือบทุกจังหวะแต่ตั้งสติได้ดี ทั้งยังฉกฉวยโอกาสได้ยอดเยี่ยม

ลิเวอร์พูลที่คุมทุกอย่างอยู่หมัดมาตลอดเผลอปล่อยให้ แอนโธนี่ กอร์ดอน พลิกพาบอลขึ้นหน้าได้ทีเดียวเป็นเรื่องทันที และการจบสกอร์ของ อเล็กซานเดอร์ อิซัค ก็เด็ดขาดสมกับที่เป็นตัวความหวังของทีมเยือน

แต่ก็นั่นล่ะครับ ลิเวอร์พูลเอาชนะได้ด้วยขุมกำลังเชิงลึกที่กลับมาสมบูรณ์ดีในเวลานี้ ทำให้คล็อปป์มีตัวเลือกใช้งานหลากหลาย เติมได้ทั้งความสดและปรับแท็กติกด้วยประสิทธิภาพระดับหวังผลได้

ลองดูตัวสำรองของคล็อปป์ในเกมนี้ก็ได้ นอกจาก คักโป โชต้า กราเฟนแบร์ค และ แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ส่งลงไปบดจนได้สามคะแนนแล้ว ข้างสนามเขายังมี เอลเลียตต์ ให้เลือกใช้งานอีกคน รวมถึงกองหลังอย่าง จาเรลล์ ควอนซาห์ ในกรณีที่สถานการณ์เฉพาะหน้าต้องการเกมป้องกันที่เหนียวแน่นขึ้น

ในท้ายที่สุดผมมองชัยชนะของลิเวอร์พูลเกมนี้ว่ามาจากขุมกำลังที่ใหญ่พอ ตัวสำรองมีอิทธิพลโดยตรงต่อเกม ความมุ่งมั่นไม่ย่อหย่อน ความเข้มข้นของเกมที่บีบกดดันฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา

ในภาพรวมของเกมไม่มีอะไรน่าตำหนิ เกมเพรสซิ่งทำงานได้เยี่ยม พละกำลังไม่ถดถอย และเป็นชัยชนะที่มาจากการทำงานเป็นทีม เป็น 3 คะแนนที่สมควรได้รับอย่างยิ่ง

ส่วนที่ต้องปรับแก้เป็นรายบุคคลก็ยังคงต้องทำควบคู่กันไปโดยเฉพาะการเรียกความเชื่อมั่นให้ดาร์วิน และการเค้นฟอร์มช่วงต้นฤดูกาลของ โดมินิก โซโบสไล ให้กลับมาอีกครั้ง

แต่ลองสังเกตดูเวลานี้คนอื่นๆ ที่เคยตะกุกตะกักเริ่มลงตัวและอยู่ตัว ทำหน้าที่ได้ดีอย่างสม่ำเสมอแล้ว

โจนส์คงเส้นคงวาขึ้น บทบาทเด่นชัดขึ้น โจ โกเมซ เพอร์เฟกต์ในฐานะจิ๊กซอว์อุดรูรั่ว เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ไม่พลาดง่ายๆ สนับสนุนเกมรุกได้ดี

เอลเลียตต์ไว้ใจได้ทุกเกมที่ถูกส่งลงสนาม วาตารุ เอนโด ดีงามในพื้นที่ยุทธศาสตร์มิดฟิลด์ตัวรับ

โจนส์ โจ เทรนต์ ฟาน ไดค์ เอนโด เอลเลียตต์.. 6 คนนี้ เดอะค็อปเคยเป็นกังวล แต่ตอนนี้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม แล้วทำไมเราถึงจะรีบหมดหวังกับดาร์วินหรือบ่นคล็อปป์ว่าดื้อเล่าถ้าเขาจะยังอยากให้โอกาสดาร์วินต่อ (แม้น้องนูนจะน่าหงุดหงิดโมโหอีกแล้วก็เถอะ)

ชัยชนะ 4-2 เหนือนิวคาสเซิ่ลในเกมที่ควรชนะให้ได้.. ตำแหน่งจ่าฝูงกับ 3 คะแนนที่นำแอสตัน วิลล่า.. 5 คะแนนที่นำ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ อาร์เซน่อล เป็นความอิ่มเอมต้อนรับปีใหม่

ลิเวอร์พูลเข้าสู่ปี 2024 อย่างสดชื่นทีเดียวนะครับ

เรื่องที่ต้องรอดูกันหลังจากนี้ก็คือการขาดหายไปของ ซาลาห์ และ เอนโด ที่ไปเล่นเนชั่นส์ คัพ และ เอเชียน คัพ จะส่งผลกระทบแค่ไหน

มันก็เสียวสันหลังอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าคล็อปป์และทีมงานคงเตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว จะทำได้ดีแค่ไหนก็ต้องรอดูกัน

อย่างน้อยเกมล่าสุดนี้มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีอีกเกม.. เป็นไงก็เป็นกันล่ะวะ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : gettyimages
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport