Let it be.. บทเพลงอมตะของ The Beatles คือหนึ่งในเพลงโปรดของ วาตารุ เอ็นโด
"Let it be, let it be, let it be, let it be.. There will be an answer, let it be"
อย่าวิตกกังวลมากเกินไปเลย แล้วมันก็จะผ่านไป ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
เอ็นโดซึมซับบทเพลงของเดอะบีทเทิลส์ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนที่โยโกฮาม่าบ้านเกิด คุณครูคนหนึ่งของเขาเป็นแฟนตัวยงของวงสี่เต่าทอง
(จริงๆ แล้ว ชื่อ The Beatles ไม่ได้มีความหมายอะไรเกี่ยวกับเต่าทอง - เต่าทองจริงๆ คือ Ladybug - แต่มาจากคำว่า Beat ที่แปลว่า ตี หรือ เคาะจังหวะ ส่วนคำว่า สี่เต่าทอง ที่เราใช้กันบางข้อมูลบอกว่ามาจากทรงผมกะลาครอบของ 4 หนุ่มบีทเทิลส์ที่เหมือนเต่าทอง)
ครูคนนั้นของเอ็นโดมักจะเปิดเพลงของ เดอะ บีทเทิลส์ ให้เด็กนักเรียนฟังก่อนเริ่มสอนเสมอ และเมื่อฟังมากเข้าๆ ทุกคนก็จะร้องตามไปด้วยรวมถึงเด็กชายวาตารุ
มันซึมซับอยู่ในสมองของเขา ชนิดที่ว่าฮัมเพลงบีทเทิลส์ได้ทุกเพลง จะว่าไปมันก็เหมือนโชคชะตา เขาไม่เคยรู้เลยว่าวงดนตรีที่ดีที่สุดตลอดกาลวงหนึ่งของโลกวงนี้มาจากเมืองลิเวอร์พูลจนกระทั่งวันที่เขาย้ายมาลงหลักปักฐานที่เมอร์ซี่ย์ไซด์
"จริงๆ นะ ผมไม่เคยรู้เลยว่าเดอะบีทเทิลส์มาจากลิเวอร์พูล แต่ผมฟังเพลงของบีทเทิลส์ตั้งแต่เด็กเพราะคุณครูคนหนึ่งของผมเป็นแฟนบีทเทิลส์ตัวยง ช่วงนั้นผมเรียนอยู่มัธยมต้น ครูจะเปิดเพลงบีทเทิลส์ให้เราฟังก่อนเริ่มสอนทุกครั้ง ผมเลยคุ้นเคยกับเพลงของบีทเทิลส์ เพลงโปรดของผมคือ Let it be"
เอ็นโดย้ายเข้าสู่แอนฟิลด์ท่ามกลางคำถาม ยิ่งช่วงแรกๆ ที่ได้รับโอกาสลงสนามก็ยิ่งเต็มไปด้วยคำถาม.. คำถามที่เกิดขึ้นจากการตัดสินเขาเรียบร้อยแล้วทั้งๆ ที่เราเพิ่งได้รู้จักกัน
ตัวเล็กเกินไป แรงปะทะสู้ไม่ได้ ช้าเกินไป เงอะงะเกินไป เล่นพรีเมียร์ลีกไม่ได้หรอก แพนิกบาย รีบซื้อเพราะพลาดไกเซโด้ อายุ 30 แล้วจะเอามาทำไม ฯลฯ
สารพัดสารพันคำดูถูกดูแคลน จากฝ่ายตรงข้ามนั้นเรื่องหนึ่ง แต่จากคนกันเองมันน่าเจ็บปวด แต่เขาก็ก้มหน้าก้มตาแก้ไขจุดบกพร่อง เสริมเติมจุดที่ยังขาด ทำมันทุกวันทุกวันและทุกวันในสนามซ้อม ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน จนในที่สุดเขาก็ไปถึงจุดที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการ
อันที่จริงสัญญา 4 ปีที่ลิเวอร์พูลมอบให้เอ็นโดแสดงให้เราเห็นชัดนะครับว่า คล็อปป์และทีมงานมองเอ็นโดอย่างไร แค่ตัวสำรองหรือตัวหลัก แค่อะไหล่หรือฟันเฟืองสำคัญ แค่ซื้อมาแก้ขัดหรือผ่านคุณสมบัติที่ต้องการ..
นักฟุตบอลแต่ละคนใช้เวลาปรับตัวไม่เท่ากัน บางคนปรับได้เร็ว บางคนปรับได้ช้า ป่วยการที่จะเปรียบเทียบระหว่างคนนี้กับคนนั้น คนนั้นกับคนนู้น หรือคนนู้นกับคนโน้น แต่เรื่องตลกที่สุดคือการด่วนตัดสินนักฟุตบอลสักคนเพียงแค่เห็นภาพลักษณ์ภายนอกหรือเห็นเขาเล่นแค่ 1-2 เกม
"ใช่แล้ว มันแตกต่างกันพอสมควรเลยล่ะ แรงปะทะ เทคนิก ความเร็ว นี่คือพรีเมียร์ลีก ตอนที่ผมลงเล่นพรีเมียร์ลีกเกมแรกที่เราไปเยือนนิวคาสเซิ่ล มันโหดและหนักหน่วงสุดๆ มันแตกต่างกันจริงๆ ในทุกอย่างที่ว่ามาเลย"
สำหรับเอ็นโด ถือว่าเขาปรับตัวได้เร็ว เวลานี้เขาสามารถทดแทนตำแหน่งเบอร์ 6 ที่ฟาบินโญ่ทิ้งเอาไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ ด้วยวิธีการเล่นที่เป็นตัวเขา ตัวเล็กแต่แข็งแกร่ง เร็ว คล่อง ฉลาด ทั้งยังกล้าหาญ
เห็นตัวเล็กๆ แบบนี้ผมแทบไม่เห็นเอ็นโดแพ้การแย่งโหม่งกลางอากาศเลย การกะจังหวะเทกตัวขึ้นโหม่งบอลของเขาทำได้สมบูรณ์แบบมาก
มองดูทีมลิเวอร์พูลเวลานี้ การเก็บบอลจังหวะสองหรือการเข้าสกัดแย่งบอลของเอ็นโดมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ หลายครั้งเขาคือคนที่เริ่มเกมรุกให้กับทีมจากการอ่านจังหวะตัดบอล ชิงเหลี่ยมแย่งบอล หรือกระโดดโหม่งบอลได้ก่อนคู่ต่อสู้
อนาคตยังอีกยาวไกล เราไม่มีวันรู้หรอกว่าเขาจะดีขึ้นไปได้อีกแค่ไหนหรืออาจจะฟอร์มตกไม่ดีกว่านี้อีกแล้ว แต่ในเมื่อเขาเป็นนักเตะลิเวอร์พูล สวมเสื้อลิเวอร์พูล และยังได้รับความไว้วางใจจากคล็อปป์และเพื่อนร่วมทีม ผมก็พร้อมจะให้กำลังใจเขาเต็มที่ทั้งในวันที่เล่นดีและแย่
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว เอ็นโดให้สัมภาษณ์ว่าเขาพอใจผลงานของตัวเองในเกมกับตูลูสช่วงปลายเดือนตุลาคมที่สุด (เล่นตัวจริง โหม่งทำประตูนำ 2-1 ให้ทีมก่อนถล่ม 5-1 ที่แอนฟิลด์)
"ผมยังช่วยทีมได้มากกว่านี้ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเพื่อนๆ รู้จักผมและสไตล์การเล่นของผมมากขึ้น ผมเองก็รู้จักพวกเขามากขึ้นเช่นกัน เกมกับตูลูสเป็นเกมที่ผมเล่นดีที่สุดเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองเล่นได้แบบสบายๆ ในวันนั้น"
นั่นคือบทสัมภาษณ์ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน เอ็นโดคงไม่รู้เลยว่าชีวิตเขาในถิ่นแอนฟิลด์ ณ วันนั้นกำลังเริ่มเข้าสู่ขาขึ้น เพราะหลังจากนั้นผลงานของเขาก็ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ มีอิทธิพลต่อทีมมากขึ้นเรื่อยๆ
"ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกผมยังอยู่คนเดียวที่โรงแรม ผมเลยออกไปหาอาหารญี่ปุ่นกินในเมืองและไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เดอะบีทเทิลส์ ไปดูรูปปั้นทั้งหลายบนท้องถนนและยังไป The Cavern Club (ผับใต้ดินอันโด่งดังบนถนนแม็ทธิวสตรีท หนึ่งในสถานที่แรกๆ ที่เดอะบีทเทิลส์ได้เล่นดนตรีสด)"
เมืองลิเวอร์พูล บทเพลงของเดอะบีทเทิลส์ และฟุตบอลของลิเวอร์พูลเริ่มขัดเกลาเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
ปัญหาและอุปสรรคที่เจอ.. ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เผชิญหน้ากับมันด้วยสติและความตั้งใจ แล้วมันก็จะผ่านไปในแบบที่ควรจะเป็น
---------------
"When I find myself in times of trouble, Mother Mary comes to me
Speaking words of wisdom, let it be
"And in my hour of darkness she is standing right in front of me
Speaking words of wisdom, let it be"
เซอร์พอล แม็คคาร์ทนี่ย์ แต่งเพลงนี้ในช่วงที่ตัวเองกำลังกังวลใจถึงรอยร้าวและปัญหาภายในวงที่มีทิศทางดำเนินไปสู่การแยกวง ในห้วงลึกแห่งนินทาค่ำคืนนั้น เขาฝันถึง แมรี่ แพทริเซีย แม็คคาร์ทนี่ย์ คุณแม่ที่จากไปตั้งแต่เขาอายุเพียง 14 ปี
แม่บอกกับเขาในความฝันว่า "แล้วมันก็จะผ่านไปนะลูก ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี"
แล้วเมื่อตื่นขึ้นมา แม็คคาร์ทนี่ย์ก็ลงมือเขียนเพลงที่กลายเป็นอมตะชั่วนิรันดร์
Mother Mary ในเพลง Let it be จึงไม่ได้หมายถึงพระแม่มารีหรือสตรีวิเศษอื่นใด หากแต่เป็นคุณแม่แท้ๆ ของ พอล แม็คคาร์ทนี่ย์ เอง มันเรียบและง่ายแค่นั้น
ในวันเวลาที่เต็มไปด้วยปัญหา หดหู่ มืดมน ขอเพียงเราเยือกเย็น รับมือกับมันด้วยสติและความเฉลียวฉลาด ทำในสิ่งที่ควรจะทำ แล้วก็.. Let it be.. ปล่อยให้มันเป็นไป แล้วคำตอบจะปรากฏเอง
สำหรับ วาตารุ เอ็นโด เขาทำในสิ่งที่ชาญฉลาดที่สุดในการรับมือกับเสียงดูถูกดูแคลนทั้งหลาย
มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเอง ทำงานอย่างหนัก เพื่อส่วนรวม ด้วยทัศนคติที่เป็นบวก
"ผมตื่นเต้นในทุกๆ ครั้งที่ได้ลงสนาม พรีเมียร์ลีกทุกแมตช์มีบรรยากาศที่น่าเหลือเชื่อ ผมสนุกกับมันมากและก็อยากจะได้สัมผัสกับมันมากขึ้นๆ
"เราเตะกันถี่สัปดาห์ละสองเกม เราต้องหมุนเวียนผู้เล่นแต่ยังเก็บชัยชนะได้ นั่นเป็นเพราะว่าทุกคนต่างพร้อมที่จะลงเล่นอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะเป็นตัวจริงหรือตัวสำรอง
"นั่นคือเรื่องสำคัญที่สุด เราชนะกันเป็นทีม ทุกคนพร้อมเป็นตัวเลือกและต่างก็ทำผลงานออกมาดี"
ในวันที่ได้ฟาบินโญ่มาร่วมทีม คล็อปป์ไม่ใช้งานมิดฟิลด์บราซิเลียนเลยแม้แต่นาทีเดียวจนกระทั่งปลายเดือนกันยายน และไม่ส่งลงสนามเป็นตัวจริงในตำแหน่งกองกลางตัวรับเดี่ยวๆ เลยจนกระทั่งเดือนมีนาคม
เจอร์เก้น คล็อปป์ รู้ดีว่าเขาทำอะไรอยู่ แน่นอนครับ กรณีของ วาตารุ เอ็นโด ก็เช่นเดียวกัน
เรียนรู้ มุมานะ ทำงานหนัก รับผิดชอบ คิดถึงส่วนรวม มีทัศนคติที่ดี
"Let it be, let it be, let it be, let it be.. There will be an answer, let it be"
อย่าวิตกกังวลมากเกินไปเลย แล้วมันก็จะผ่านไป ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี..
ตังกุย