ใจหายใจคว่ำไปตามๆกันสำหรับแฟนบอลของทั้งสองทีมเมื่อเกมแดงเดือดที่สนาม แอนฟิลด์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 ธ.ค.ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด จบลงด้วยผลเสมอ 0-0
จากสกอร์ที่ปรากฏ แน่นอนว่า ผีแดง เป็นฝ่ายสมหวังเนื่องจากบุกมาเก็บแต้มในเกมสุดหินได้ แถมยังฉุดคู่ปรับตัวฉกาจตกจากเก้าอี้จ่าฝูงอย่างถาวรด้วย ขณะที่ หงส์แดง แม้จะบุกกระหน่ำอยู่ฝ่ายเดียว แต่เกมนี้จังหวะสุดท้ายไม่ลงล็อกจึงไม่อาจสอยตาข่ายอาคันตุกะได้โดยในช่วงทดเวลา ดีโอโก้ ดาโลต์ กองหลังทีมเยือนโดนไล่ออกด้วยจากการรับสองใบเหลือง ขณะที่ เร้ด แมชีน เสียสถิติชนะรวดในบ้านซีซั่นนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับเกมที่ว่านี้ ลิเวอร์พูล สร้างสถิติรองรับแฟนบอลสูงที่สุด 57,158 คนนับตั้งแต่เกม เอฟเอคัพ แมตช์ฟัดกับ เบิร์นลีย์ เมื่อเดือนก.พ.1963 หลังประเดิมเปิดใช้อัฒจันทร์ แอนฟิลด์ โร้ด ที่มีการต่อเติมความจุ และเป็นสถิติผู้ชมสูงสุดอันดับสามของสโมสรเมื่อนับรวมทุกรายการ
1. เอ็นโด ได้ไปต่อ
ลิเวอร์พูล เปลี่ยนทีมจากเกม ยูโรปาลีก นัดออกไปแพ้ อูนิยง แซงต์ ชิลลัวส์ 2-1 เมื่อวันพฤหัสบดีเก้ารายโดยมี วาตารุ เอ็นโด กับ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ที่ได้ไปต่อ
อย่างไรก็ดี หากจะยึดไลน์อัพจากเกมลีกนัดบุกไปคว่ำ คริสตัล พาเลซ 2-1 เจอร์เก้น คล็อปป์ ใช้งานทีมชุดเดิมทั้งหมดยกเว้น โกนาเต้ รายเดียวที่ได้ลงเล่นแทน จาเรลล์ ควานซาห์
2. แม็คทอม กัปตันผี-แรชฟอร์ด สำรอง
เอริค เทน ฮาก กุนซือทีม แมนฯ ยูไนเต็ด มอบตำแหน่งกัปตันทีมให้กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ กองกลางทีมชาติ สกอตแลนด์ ทำหน้าที่แทน บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ติดโทษแบน และถูกแทนที่โดย ค็อบบี้ ไมนู
อย่างไรก็ดี มาร์คัส แรชฟอร์ด ซึ่งมีอาการป่วยจนพลาดเกม แชมเปี้ยนส์ลีก นัดเฝ้าบ้านพ่าย บาเยิร์น 1-0 ร่วงตกรอบแบ่งกลุ่มได้กลับมาอยู่ในทีม แต่มีชื่อเป็นตัวสำรอง
รวมเบ็ดเสร็จ ผีแดง โรเตชั่นทีมสองจุดจากเกมบู๊กับ เสือใต้ เนื่องจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ เจ็บขาหนีบทำให้ จอนนี่ อีแวนส์ ได้เสียบแทน ขณะที่เจ้าหนู ไมนู วัย 18 ปีรับภาระแทนดาวเตะทีมชาติ โปรตุเกส
ด้วยเหตุนี้ ไมนู จึงเป็นนักเตะ ปีศาจแดง อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเกมแดงเดือดในศึก พรีเมียร์ลีก ด้วยวัย 18 ปี 242 วัน และเมื่อนับรวม อเลฮานโดร การ์นาโช่ เข้าไปด้วย จึงเป็นครั้งที่สองที่ เร้ด เดวิลส์ ใช้งานสองดาวเตะวัยทีนออกสตาร์ตเกมฟัดกับ หงส์แดง ในรายการนี้พร้อมกันต่อจากคู่ของ เวย์น รูนีย์ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในเดือนม.ค.2005
3. ครึ่งแรกผีเอาอยู่
จากที่เคยบุกมาแพ้ 7-0 ส่งผลให้ เทน ฮาก มีบทเรียนที่จำขึ้นใจ ประกอบกับยามนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด มีผลงานที่เลวร้าย การเล่นแบบเน้นเกมรับชนิดรัดกุมสุดขีดจึงถูกกุนซือดัตช์นำมาใช้ และปรากฏว่าตลอด 45 นาทีแรก ขุนพล ผีแดง วางระบบป้องกันได้อย่างแน่นหนาไม่เปิดโอกาสให้เจ้าบ้านได้สร้างปัญหาอย่างชัดเจนมากมายนัก
ดังจะเห็นว่าอาคันตะกุบุกมาวางเกมรับแบบเต็มสูบประดุจตั้งกำแพงสามชั้น และเน้นเล่นอยู่ในแดนตัวเองเพื่อบีบพื้นที่ให้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสทำเกมแบบทะลุทะลวงน้อยลงไปจนทำให้เกมไม่เดือดอย่างที่คาดเนื่องจาก ผีแดง มักน้อยหวังบุกมาแบ่งแต้มเป็นสำคัญซึ่งพวกเขาทำได้ดี และประสบความสำเร็จ
และที่สำคัญ หลังจบครึ่งแรก เร้ด แมชีน มีโอกาสคลำเป้ามากถึง 15 ครั้งซึ่งเป็นสถิติที่สูงที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำได้ในเกมแดงเดือดช่วง 45 นาทีแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2018 แต่ที่เหลือเชื่อก็คือเจ้าบ้านซึ่งครองบอลได้เหนือกว่า 68:32% ไม่มีประตูตอบแทนจากการส่งบอลเข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ลุ้นสองครั้งแต่ซัดบอลไม่ตรงกรอบ
ขณะเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ได้สัมผัสบอลในเขตโทษ ลิเวอร์พูล แค่หนเดียวเท่านั้นซึ่งเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่มีการจดบันทึกสถิติเมื่อ 14 ปีก่อน อีกทั้ง ลิเวอร์พูล ได้เตะมุมในครึ่งแรก 9 ครั้งซึ่งเป็นจำนวนที่มากที่สุดของพวกเขาในเกม พรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่ปี 2011
4. เสมอเหมือนหงส์แพ้
หลังจากเกมในครึ่งแรกจบลงแบบจืดชืดไปนิด ครึ่งหลัง เร้ด แมชีน เดินเกมรุกเต็มสูบหมายพิฆาตอาคันตุกะให้ได้ แต่กลายเป็นว่าเกมนี้บรรดาดาวเตะแผงหลังของ ผีแดง ช่วยกันสกัดกั้นได้ทุกครั้งไปโดยเฉพาะ ราฟาแอล วาราน กับ อีแวนส์ เคลียร์ลูกอันตรายได้แทบทุกจังหวะ
พร้อมกันนี้ อ็องเดร โอนาน่า ก็มีจังหวะเซฟลูกยากช่วยทีมได้สองสามหนซึ่งส่งผลให้ลูกทีมของ เทน ฮาก ยิ่งเล่นก็ยิ่งมั่นใจด้วยเชื่อว่าสามารถยันสกอร์เสมอกับเจ้าถิ่นได้แน่ และสุดท้ายพวกเขาทำได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อทั้งๆที่เจ้าบ้านมีโอกาสเช็กบิลชนิดนับครั้งไม่ถ้วน
จบ 90 นาที สถิติชี้ว่า ลิเวอร์พูล ครองบอลเหนือกว่า 69:31% และได้ลุ้นทำประตูมากถึง 34 ครั้งโดยสามารถส่งบอลเข้ากรอบได้ 8 ครั้ง ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ง้างไก 6 ครั้ง และเข้ากรอบครั้งเดียวจากโอกาสของ ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่โดน อลิสซง ขยับออกมาบล็อกได้ซึ่งทำให้กองหน้าทีมชาติ เดนมาร์ค ต้องรอนับหนึ่งประตูใน พรีเมียร์ลีก ของเขาต่อไป
จากโอกาสเช็กบิลของเจ้าบ้าน 34 ครั้ง แต่จบลงด้วยสกอร์ 0-0 กลายเป็นเกม พรีเมียร์ลีก ที่ หงส์แดง ได้ซัดประตูมากที่สุด แต่ส่งบอลปะทะตาข่ายไม่สำเร็จนับตั้งแต่ซีซั่น 2003/04 และเป็นเกมที่ทีมหนึ่งได้ลุ้นทะลวงประตูมากที่สุดใน พรีเมียร์ลีก แต่ไม่มีสกอร์ตอบแทนเช่นกันนับตั้งแต่ แมนฯ ยูไนเต็ด เคยได้ส่องยิง เบิร์นลีย์ มากถึง 38 ครั้ง แต่ไม่ได้ประตูเลยเมื่อเดือนต.ค.2016 (0-0)
อย่างไรก็ดี ที่น่าทึ่งและถือว่า ลิเวอร์พูล เสียหายอย่างแรงก็คือเกมซีซั่นก่อนที่ แอนฟิลด์ ซึ่งพวกเขายำใหญ่ ผีแดง 7-0 เจ้าบ้านส่งบอลเข้ากรอบตลอด 90 นาทีทั้งหมด 8 ครั้งเท่ากับเกมนี้เช่นกันจากโอกาสยิง 18 ครั้ง แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่วันของทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ซึ่งไม่อาจกระทุ้งประตูได้เลยแม้แต่เม็ดเดียว
5. จุดเปลี่ยนของอสูรแดง?
แน่นอนว่าหลังรอดตายเหมือนควายขวิดเก็บหนึ่งแต้มออกจาก แอนฟิลด์ ได้อย่างไม่น่าเชื่อชนิดที่คว้าคลีนชีตได้ มันถือเป็นผลการแข่งขันที่เกินความคาดหมายของ แมนฯ ยูไนเต็ด เนื่องจากกูรูทุกรายพากันฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า ลิเวอร์พูล จะชนะ 100% และน่าจะมีสกอร์อย่างน้อยสองเม็ดแบบชัวร์ๆเมื่อมองถึงฟอร์มของทั้งสองฝ่าย
ฉะนั้นแล้ว ผลเสมอ 0-0 ในเกมบุกไปเยือนคู่อริจึงน่าจะทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาเริ่มตั้งไข่กันอีกหนหลังจากพวกเขามีผลงานที่ดูไม่จืดมานาน และกระเด็นตกรอบแบ่งกลุ่มถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ไปแล้ว
เท่านั้นไม่พอ ทีมของ เทน ฮาก ตกรอบถ้วย คาราบาวคัพ ที่พวกเขาคว้าแชมป์ได้เมื่อซีซั่นก่อนไปแล้วเช่นกันจึงหมายความว่าซีซั่นนี้ทีมจาก โอลด์ แทรฟฟอร์ด เหลือโปรแกรมให้ลงเล่นแค่สองรายการเท่านั้นคือ เอฟเอคัพ กับ พรีเมียร์ลีก ซึ่งหากจะเลือกมองในแง่ดีก็เท่ากับว่าผู้จัดการทีมชาวดัตช์ที่น่าจะลดความกดดันลงไปได้หลังจบเกมแดงเดือดจะมีเวลาซ้อมทีมเพื่อปรับกลยุทธ์กันใหม่ให้เข้าที่เข้าทางมากขึ้นต่อการเร่งสร้างผลงานเก็บแต้มกลับไปคว้าพื้นที่ฟุตบอล แชมเปี้ยนส์ลีก ให้ได้อย่างที่กุนซือสกินเฮดวาดหวังแม้ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญก็ตาม
ขณะเดียวกัน ต้องรอดูกันอีกนิดว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะวนลูปกลับไปสร้างผลงานที่เรียกเสียงยี้จากสาวกอีกหนหรือเปล่าเนื่องจากฟอร์มในสนามของพวกเขายังไม่น่าไว้วางใจแม้จะบุกไปเก็บหนึ่งแต้มจาก ลิเวอร์พูล ได้ แต่ก็เป็นไปแบบเจียนอยู่เจียนไปยากที่จะเอาชนะคู่แข่งได้ง่ายๆไม่ว่าจะต้องต่อกรกับทีมไหน
เสร็จจากเกมแดงเดือด แมนฯ ยูไนเต็ด จะดวลเกือกกับ เวสต์แฮม สุดสัปดาห์หน้าที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เกมที่ง่าย และถัดมา เทน ฮาก ต้องคุมทีมเปิดบ้านปะทะกับ แอสตัน วิลล่า ซึ่งชั่วโมงนี้มาแรงสุดๆถึงขนาดทำแต้มนำแชมป์เก่า แมนฯ ซิตี้ ได้แล้ว และรั้งอันดับสามโดยมีแต้มเท่ากับ ลิเวอร์พูล ด้วยจึงถือเป็นสองเกมที่สามารถชี้เป็นชี้ตายอนาคตของอดีตนายใหญ่ทีม อาแจ็กซ์ ได้โดยเฉพาะหาก ปีศาจแดง กลับไปออกทะเลเหมือนเคยอีก มันก็ไม่แน่ว่า แกรม พ็อตเตอร์ อดีตกุนซือทีม เชลซี ที่โดนลือกับเก้าอี้ตัวสำคัญของ โรงละครแห่งความฝัน อาจก้าวเข้ามากู้วิกฤตให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด แทนที่ เทน ฮาก ก็เป็นได้