เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ซาดิโอ มาเน่ กับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ส่วนตอนท้ายสั้น ๆ พูดถึงการได้มาซึ่งหมายเลข 9 ที่ ลิเวอร์พูล โดยบอกว่าตัวเองไม่ได้แสนดีอย่างที่ใครคิด
.
.
.
ทำไมผมถึงทำหน้าแบบนั้นน่ะเหรอ ? ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่แน่นอนว่ามันตลกดี
จนถึงตอนนี้ยังมีคนส่งรูปนั้นมาที่โทรศัพท์ของผม หรือส่งมาถึงผมทางโซเชียลมีเดียอยู่เลย
ตอนนั้นเราอยู่ในอุโมงค์, กำลังเดินกลับไปยังห้องแต่งตัวหลังจากชนะ เบิร์นลี่ย์ 3-0 บรรยากาศมันเต็มไปด้วยความตึงเครียดแม้ว่าเราจะได้ผลการแข่งขันที่ดี
สิ่งที่หลายคนให้ความสนใจในเกมนั้นกลายเป็นอาการเดือดดาลของ ซาดิโอ มาเน่ ในตอนที่เขาโดนเปลี่ยนตัวออกจากสนามช่วงท้ายเกม
กล้องจับภาพได้ทุกอย่าง ซาดิโอ ไม่เพียงแต่โกรธที่โดนเปลี่ยนตัวออกเท่านั้น แต่ยังโมโหมาก ๆ เมื่อก่อนหน้านั้นไม่นาน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ พยายามยิงเองทั้งที่มีช่องจะผ่านบอลสวย ๆ ให้ มาเน่ ที่ว่างอยู่ในกรอบเขตโทษ
คือภาษาอังกฤษของผมไม่แข็งเท่าไหร่น่ะนะ ดังนั้นผมเลยไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า มาเน่ ตะโกนว่าอะไรตอนโดนเปลี่ยนออก
แต่มันไม่ใช่คำพูดที่ดีแน่นอน!
เจมส์ มิลเนอร์ พยายามทำให้เขาใจเย็น แต่ ซาดิโอ ยังหัวร้อนอยู่ เขานั่งบ่นบนม้านั่งสำรอง และทำท่าไม่พอใจแล้วไม่พอใจอีก
ผมรู้จักทั้งคู่ดี บางทีอาจจะรู้จักดีกว่าใครเลยด้วยซ้ำ
ผมได้ลงไปเล่นร่วมกับเขาทั้้งคู่ ผมได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าแต่ละคนมีท่าทางยังไง, บูดบึ้งกันแค่ไหน, มีภาษากายยังไง, ไม่พอใจคนอื่น ๆ ในทีมมากแค่ไหน
ผมสัมผัสได้ ผมเป็นตัวเชื่อมระหว่างพวกเขาในการเล่นเกมรุกของเรา และเป็นเหมือนคนสงบศึกในสถานการณ์เหล่านั้น
สำหรับใครหลายคน นั่นอาจจะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็น ซาดิโอ กับ โม มีปัญหากัน
สำหรับใครหลายคนแล้ว นั่นอาจจะเป็นครั้งเดียวที่พวกเขาเห็นว่าคู่นั้นมีปัญหากัน
แต่จริง ๆ มันเป็นประเด็นที่ถูกบ่มมาตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 แล้ว
สัญชาตญาณและหน้าที่ของผมคือการปลดชนวนระเบิดระหว่างทั้งคู่
ผมต้องช่วยดับไฟ ไม่ใช่โหมไฟให้มันหนักขึ้น
ช่วงเวลาตึงเครียดผ่านไปรวดเร็ว
เกมถัดไป คนหนึ่งส่งบอลให้อีกคน หรือผ่านบอลมาที่ผมที่เป็นคนผ่านต่อให้อีกคน
แล้วเราก็ฉลองประตูกันเพื่อทีมด้วยกัน
ซาลาห์ และ มาเน่ เคยมีปัญหาเล็ก ๆ กันมาก่อน แต่ที่ เบิร์นลี่ย์ วันนั้นทุกอย่างมันปรากฏออกมาบนสนาม คนทั้งโลกจึงได้เห็น
ตอนเราเดินออกจากสนาม อารมณ์หดหู่พอตัว
เราไม่ได้มีความเพลิดเพลินตามแบบฉบับที่ควรจะเป็นจากการชนะเลย ทั้งที่เราชนะเกมลีกเป็นนัดที่ 4 จากการลงเล่น 4 นัด และก็เป็นอีกครั้งที่ผมอยู่กึ่งกลางระหว่างทั้งคู่
ตอนนั้นผมอยู่ด้านหลัง ซาลาห์ และอยู่หน้า มาเน่ ส่วนกล้องก็จับภาพมาที่เรา
พอผมเห็นกล้อง ผมก็ยิ้มออกมาพร้อมทำหน้าประมาณว่า -คุณเห็นนั่นไหม ?! วันนี้พวกเขามีปัญหากันแบบดุเดือด! แต่ไม่ต้องห่วงนะ มันไม่มีอะไรหรอก-
การทะเลาะกันของพวกเขามันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มันอาจจะทำให้เกิดปัญหากับเราได้เลย แต่สีหน้าแบบตลกร้ายของผมมันเป็นใบหน้าของคนที่รู้ดีว่ามันจะไม่ทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไร
บางทีเจ้านาย (เจอร์เก้น คล็อปป์) และคนอื่น ๆ อาจกังวลอยู่บ้าง แต่ผมไม่เป็นแบบนั้นเลย!
ผมคิดว่าแฟนบอล ลิเวอร์พูล คงหัวเราะตอนเห็นปฏิกิริยาของผม มันช่วยทำให้พวกเขาคลายความกังวลได้ และทำให้พวกเขาได้ฉลองชัยชนะกับเพื่อน ๆ อีก 1 นัด
ผมไม่รู้ว่าเขารู้ตัวรึเปล่า แต่ ซาลาห์ น่ะ เคยทำให้ทุกคนไม่พอใจตอนที่เขาไม่ส่งบอลให้ ซึ่งผมรู้วิธีที่จะจัดการสถานการณ์แบบนั้นมากกว่าใคร
คล็อปป์ พูดถึงปัญหาต่อหน้าพวกเราทุกคน - บอลต้องส่งไปหาเมื่อเพื่อนร่วมทีมยืนอยู่ตำแหน่งที่ดีกว่า- นั่นชัดเจนว่าหมายถึง ซาลาห์
แต่หลายปีที่ผ่านมา ผมพูดได้เลยว่ามุมมองเกมของเขาพัฒนาขึ้นมาก ๆ
เขาค่อย ๆ เรียนรู้ลดความเห็นแก่ตัวน้อยลง และเล่นเป็นทีมมากขึ้น
มันเป็นเรื่องปกติที่คนเป็นกองหน้า จอมยิงประตู จะต้องมีความกระหายเล็กน้อยเพื่อทำเรื่องแบบนั้น
ส่วน มาเน่ เป็นคนที่มีความดุเดือดมากกว่าเราทั้งคู่
ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและช่วงเวลาที่เลวร้าย เขาคือคนที่มีความกระตือรือร้นมากที่สุดในกลุ่ม 3 คนของเรา และยังเป็นคนที่ผมรู้สึกว่าผมสามารถคุยถึงปัญหานี้ได้แบบเปิดอกมากที่สุดด้วย
ผมคุยกับเขาอยู่เสมอ, คอยให้คำแนะนำเขา, พยายามทำให้เขาใจเย็น
ผมบอกให้เขานิ่งๆ เข้าไว้, เล่นเพื่อนทีม และเล่นแบบผ่อนคลายต่อไป
ทั้งคู่ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกัน ต่างคนต่างเก็บตัวอยู่กับตัวเอง มันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะมานั่งพูดคุยกัน และผมไม่แน่ใจว่านั่นเกี่ยวกับที่ อียิปต์ เจอ เซเนกัล ใน แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ ด้วยไหม
ผมไม่รู้จริง ๆ แต่พวกเขาไม่เคยไม่คุยกันนะ ไม่เคยตัดความสัมพันธ์ พวกเขาทำหน้าที่ด้วยความเป็นมืออาชีพสุด ๆ เสมอ
ฟุตบอลเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดเดาคำทำนายความมหัศจรรย์ที่จะปรากฏบนสนามได้ เมื่อนักเตะจาก อียิปต์, เซเนกัล และ บราซิล ผนึกกำลังกัน
มีแค่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ถึงเรื่องนั้น แม้กระทั่งมิสเตอร์ คล็อปป์ ก็คาดเดาไม่ได้ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง
ผมขอชี้แจงบางอย่างให้ชัดเจนก่อน บางคนให้เครดิตผมที่ยกเบอร์ 11 ให้กับ ซาลาห์ ตอนที่เขาย้ายมาอยู่กับทีม และเป็นการช่วยให้ทุกอย่างมันออกสตาร์ตได้ดี
มันดูเหมือนเป็นการกระทำที่เต็มไปด้วยความใจกว้างที่ตรงกับสไตล์การเล่นของผมในการประสานงานของเราทั้ง 3 คน
ผมไม่เคยเข้าข้างใครเป็นพิเศษนะ ผมผ่านบอลให้ทั้งคู่อยู่เสมอ สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดคือชัยชนะของทีม
หลายคนสนใจถึงประเด็นที่ว่าผมจะมีบทบาทอะไรใน 3 แนวรุกในด้านของแท็กติก แต่บางทีผมอาจจะมีบทบาทในด้านทั่วไปที่สำคัญเหมือนกัน อย่างการเป็นผู้ไกล่เกลี่ย หรือผู้ประสานงานก็ได้
ถ้าผมไม่ได้รับบทบาทแบบนั้น ทั้งคู่ก็อาจจะเปิดสงครามกันในสนามก็ได้
บางที นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงมักถูก คล็อปป์ เปลี่ยนตัวออกบ่อยที่สุด
เราสามคนมีบุคลิกที่ไม่เหมือนกัน และเจ้านายรู้ดีว่าผมคงไม่ปาขวดน้ำลงพื้นหรืออะไรก็ตามแต่
หากผมมีปัญหา ผมจะไปคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวทีหลัง
ยามที่ต้องโดนเปลี่ยนเพราะความจำเป็น มันง่ายเลยที่จะถอด บ็อบบี้ ออกดีกว่าจะทำให้อีกสองคนไม่พอใจ
ทุกคนรวมถึงผู้เล่นคนอื่น ๆ ต่างรู้ดีว่ามันเป็นยังไง
มันเป็นความลับที่แย่ที่สุดในทีมลิเวอร์พูล แน่นอน ไม่เคยมีใครมาถามว่าผมคิดยังไงหรือรู้สึกยังไง
มันเป็นเรื่องปกติของผม ทีมต้องมาก่อน ซึ่งเจ้านายก็ทราบดี
ผมมาถึง ลิเวอร์พูล ตอนซัมเมอร์ปี 2015 ซาดิโอ มาเน่ ย้ายเข้าทีมในปีถัดมา พอปี 2017 ก็เป็นตาของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์
พวกเราไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วง 5 ปีที่เราเล่นด้วยกัน
ครั้งหนึ่ง คล็อปป์ เคยพูดว่า -ผมแทบจินตนาการไม่ออกเลยว่าผลงานจะออกมาแบบนี้-
ในโลกฟุตบอล สโมสรต่าง ๆ ต่างมองหาอะไรที่เหมือน ๆ กัน นั่นก็คือ ชัยชนะ และถ้วยแชมป์
พวกเขามีทีมแมวมองขนาดใหญ่ มีนักวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพ และมีการใช้ซอฟท์แวร์ขั้นสูง ทั้งหมดนี้ทำมาก็เพื่อความสำเร็จ
มันเป็นกีฬาที่ขับเคลื่อนด้วยแฟนบอล เม็ดเงิน และหัวจิตหัวใจนับพันล้าน
ทุกคนต่างต้องการสิ่งที่ดีที่สุดด้วยการลงทุนที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่คุณไม่มีวันรู้หรอกนะว่าผลลัพธ์ในท้ายที่สุดจะเป็นยังไง
ผมถูกมองว่าเป็นคนที่ใจกว้างมากที่สุดในกลุ่ม 3 คนอยู่เสมอ
ผมถูกมองว่าเป็นกองหน้าที่ยอมทำงานเก็บกวาดเรื่องเกมรับ เพื่อทำให้อีกสองคนเฉิดฉายเวลาอยู่หน้าปากประตู
มันเป็นเรื่องราวที่สมบูรณ์แบบ มันดูเข้ากับผมมาก ๆ
โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ชายนิสัยดีที่ยอมยกเบอร์เสื้อของตัวเองให้กับเพื่อนร่วมทีมหน้าใหม่
แต่ขอโทษนะ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย จริง ๆ ก็ไม่ได้ใกล้เคียงแบบนั้นเท่าไหร่
ผมตัดสินใจเลือกหมายเลข 9 แบบไม่คิดมากเลย
มันว่างอยู่ตอนฤดูกาลก่อนหน้านั้น หลังจาก คริสติย็อง เบนเตเก้ ย้ายออกไป
แต่ผมเริ่มคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนจากการรับบทบาทฟอลส์ ไนน์ มาเป็น กองหน้าหมายเลข 9 จริง ๆ ก็ตอนช่วงซัมเมอร์ปี 2017
การได้ใส่หมายเลข 9 ให้ ลิเวอร์พูล ไม่ใช่เป็นเรื่องเล็ก ๆ เลย
นี่เป็นเสื้อประวัติศาสตร์ที่นักเตะอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เอียน รัช และ เฟอร์นานโด ตอร์เรส ต่างเคยสวมใส่
บางทีมันทำให้ผมต้องใช้เวลาคิดสักนิดเพื่อจะได้มา
สมัยอยู่ในระดับเยาวชน ผมเคยสวมเบอร์ 10 แล้วพอมาอยู่กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ผมก็เปลี่ยนจากเบอร์ 22 มาเป็นเบอร์ 10 ในตอนที่มีโอกาสทำอย่างงั้น
สำหรับนักเตะชาวบราซิเลี่ยน และเกือบทุกคนในโลกนี้ เบอร์ 10 ถือเป็นเบอร์ของนักเตะระดับสตาร์ เป็นเบอร์ที่ เปเล่ สร้างให้เป็นอมตะ
แต่เบอร์ 10 ของ ลิเวอร์พูล เป็นของ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ เพื่อนของผม ส่วน เบอร์ 9 ก็เป็นเบอร์ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวบราซิเลี่ยนเหมือนกันเพราะ โรนัลโด้ เคยใส่เบอร์นั้น และผมก็ชอบเบอร์นั้นมาก ๆ
แม้ว่าก่อนหน้านั้นผมจะไม่เคยสวมเบอร์นั้นเลยก็ตาม จนสุดท้ายมันก็ถึงเวลาที่จะได้สวมเบอร์นี้
HOSSALONSO