ไรอัน กราเฟนแบร์ค ฉีกกฎสิ่งที่มิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล ยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่มีใครเคยทำได้มาเป็นเวลาอย่างน้อยสามปี
ลิเวอร์พูล มอง กราเฟนแบร์ค มาเป็นเวลานาน พวกเขาลงมือล่าตัวหนแรกตอนซัมเมอร์ 2022 แต่คราวนั้นแคล้วคลาดกัน แล้วปีต่อมากก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือ
"เราได้เห็น ไรอัน เวอร์ชั่นที่เคยเล่นให้ อาแจ็กซ์ เพียงแค่นั้นก็ถือว่าสร้างความประทับใจได้แล้ว" เป๊ป ไลน์เดอร์ มือขวา คล็อปป์ กล่าวไว้ก่อนเกม คาราบาว คัพ ที่จะออกเยือน บอร์นมัธ
"เราทุกคนต่างก็รู้ดีว่านักเตะที่มีความมั่นใจกับคนที่ไม่มีความมั่นใจน่ะถือว่าต่างกัน"
"ผมไม่มั่นใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับที่ บาเยิร์น แต่เขากลับไม่ได้เลงเล่นมากเท่าไหร่และก็เสียความมั่นใจตามไปด้วย"
"แต่ที่นี่ เขาเข้ามาอยู่กับทีมในแบบที่มีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม และเราก็รู้ดีว่าเขามีศักยภาพมากแต่ไหน"
"เพราะเราอยากได้เขาตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่กับ อาแจ็กซ์ แล้ว"
จากบทวิเคราะห์ของ ดิ แอธเลติก ที่ออกมาตอนช่วงมีข่าวพัวพันตอนซัมเมอร์
ฝ่ายสรรหานักเตะ ลิเวอร์พูล มองว่า กราเฟนแบร์ค มีความละม้ายคล้าย จีนี่ ไวนัลดุม ที่เคยรับบทบาทมิดฟิลด์หมายเลข 8 ฝั่งซ้าย "หงส์แดง"
ไวนัลดุม ย้ายมายัง ลิเวอร์พูล ในฐานะกองกลางตัวรุกที่ฟอร์มเปรี้ยงปร้างกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
แล้วเขาก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นกองกลางแบบเบอร์ 8 ในบทบาทที่ไม่ค่อยสร้างความคุกคามต่อผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้ามเท่าไหร่ เพราะหน้าที่ของเขาเน้นไปที่การทำงานหนักตรงแดนกลางเสียมากกว่า
ทำนองเดียวกัน ตลอด 4 เกมแรกของ กราเฟนแบร์ค ภายใต้สีเสื้อแดงเพลิง เขาไม่ได้พยายามจะยิงเลยสักครั้ง
ตั้งแต่เกมเจอ แอลเอเอสเค, เลสเตอร์ รวมถึงลงเป็นสำรองนัดพบ เวสต์แฮม กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปมาก เมื่อตลอด 5 นัดหลังสุด กราเฟนแบร์ค ส่องทำสกอร์ 11 ครั้งทำได้ 2 ประตู มียิงชนคานใส่ ไบรท์ตัน อีก 1 หนอีก
เกมกับ ตูลูส ประตูที่ กราเฟนแบร์ค ตามซ้ำดาบสองหลัง ดาร์วิน นูนเญซ ยิงพลาด นั้น แอนดรูว์ บีสลี่ย์ แห่งเว็บไซต์ ลิเวอร์พูล ดอทคอม บอกว่า กราเฟนแบร์ค กลายเป็นมิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล คนแรกในรอบอย่างน้อย 3 ปีที่ยิงเข้ากรอบ 4 ครั้งบนรายการฟุตบอลยุโรปนัดเดียว
สถิติที่น่าสนใจยิ่งกว่าเมื่อพิจารณาว่า กราเฟนแบร์ค ไม่เคยลงเล่นเต็มเกมเลยสักนัด
หากเทียบสถิติต่อการเล่นต่อ 90 นาที ซึ่งจะไม่เหมือนกับค่าเฉลี่ยต่อเกม เขามีค่าเฉลี่ยส่องทำประตู 3.2 ครั้ง เหนือกว่าที่ ไวนัลดุม เคยทำได้ โดยแข้งดัตช์รุ่นพี่เคยทำเฉลี่ยสูงสุด 1.8 ครั้งในฤดูกาล 2016/17 ซึ่งเป็นปีแรกกับสโมสร
ส่วน 4 ปีต่อมาตัวเลขอยู่ระหว่าง 1.0-1.4
ขณะเดียวกัน กองหน้าอย่าง นูนเญซ มีค่าเฉลี่ย 4.92 ครั้ง, ดีโอโก้ โชต้า 3.53 ครั้ง ซึ่งทั้งคู่เป็นสองคนที่มีค่าเฉลี่ยมากกว่า 3.2 ครั้งต่อ 90 นาทีสำหรับการเล่นใน พรีเมียร์ลีก
ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ เป็นกองกลางที่มีค่าเฉลี่ยส่องทำประตูมากสุดในลีกที่ 3.14 ครั้งต่อ 90 นาทีตามด้วย โดมินิค โซโบซไล (2.1) และ เคอร์ติส โจนส์ (0.96)
เมื่อนำ กราเฟนแบร์ค ไปเปรียบเทียบด้านนี้กับมิดฟิลด์เมื่อซีซั่นก่อน เขามีตัวเลขเหนือกว่าทุกคน
โดย นาบี้ เกอิต้า ทำได้ 3.1 ครั้ง, เอลเลียตต์ 2.0 ครั้ง, โจนส์ 1.3 ครั้ง, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน 1.0 ครั้ง และ ติอาโก้ อัลกันตาร่า 0.7 ครั้ง
การเข้ามาของ กราเฟนแบร์ค เป็นส่วนหนึ่งในการยกเครื่องแผงกลางที่ทำให้ตำแหน่งห้องเครื่อง ลิเวอร์พูล มีความอันตรายในเกมรุกมากกว่ารุ่นก่อน
ตอนนี้แฟนบอลลิเวอร์พูล ต้องรอดูกันว่าสิ่งนี้จะยังไปได้สวยจนถึงท้ายที่สุดรึเปล่า
เพราะในมุมหนึ่ง ถือว่ารูปแบบมันตรงกันข้ามกับแบบฉบับของ เจอร์เก้น คล็อปป์
แต่ทาง กราเฟนแบร์ค สามารถทำได้ยอดเยี่ยมจนเหมือนเป็นร่างอัปเกรดของ ไวจ์นัลดุม, เป็นเหมือนเวอร์ชั่น 2.0 ของแข้งรุ่นพี่ร่วมชาติ
สาเหตุที่ในช่วงที่ผ่านมาเราไม่ค่อยเห็นกองกลางของ ลิเวอร์พูล ง้างเท้ายิงมากเท่าไหร่ รวมถึงมีจำนวนการทำประตูที่ไม่สูงมากนัก
เป็นเพราะพวกเขามักจะฝากฝังการทำประตูเอาไว้กับแนวรุกเป็นส่วนใหญ่ โดยหน้าที่ของพวกมิดฟิลด์อยู่ตรงจุดอื่น เช่นการช่วยกันทำลายเกมฝั่งตรงข้าม
ลิเวอร์พูล 2.0 เริ่มเป็นทีมที่คุ้นเคยกับการมีนักเตะทางกราบขวาซึ่งมีศักยภาพแบบนักเตะหมายเลข 8 ที่เน้นไปทางเกมรุกมากขึ้น กราเฟนแบร์ค เองอาจต่างไปจากคนอื่นหลังได้รับคำแนะนำจาก คล็อปป์ ในสนามซ้อม
"คุณได้เห็นกันแล้วว่าเขาปราดเปรียวมากแค่ไหนในพื้นที่สุดท้าย, ทำได้ดีแค่ไหนกับการจับบอลจังหวะแรก และมีศักยภาพโดยรวมในการผ่านบอลจังหวะสุดท้ายดีแค่ไหน" ผู้ช่วยผู้จัดการทีมชาวดัตช์ ว่าต่อ
"ความแตกต่างกันระหว่างทีมที่ดีและทีมชั้นนำคือเรื่องที่ว่าคุณครองเกมตรงแดนกลางได้ดีแค่ไหน และ ไรอัน ก็มีศักยภาพทุกอย่างที่เหมาะกับการเป็นเบอร์ 8 แถมยังสร้างความอันตรายในกรอบเขตโทษผ่านทางการทำประตูได้ด้วย เขามีความมุ่งมั่นที่จะยิงประตูเองให้ได้เหมือนกัน"
ก่อนหน้าที่จะได้ลงเล่นเป็นตัวจริงนัดแรกในเกมกับ แอลเอเอสเค คล็อปป์ บอกให้เขา -เล่นแบบมีอิสระ- และ -ทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการโดยที่ต้องมีเหตุผลที่ดี-
แล้วหลังจากช่วงแรก ๆ เขาเล่นตามใจตัวเองมากไปบ้าง แต่พักหลังมานี้ กราเฟนแบร์ค เริ่มเข้าที่เข้าทางตามคำสั่งโค้ชมากขึ้น
-อิสระในการเล่น- ที่ กราเฟนแบร์ค กำลังทำอยู่ในตอนนี้อาจจางหายไปในอนาคต เมื่อถึงเวลาที่ คล็อปป์ ปลูกฝังปรัชญาการเล่นที่ต้องการลงไปในทีม
แต่จนถึงตอนนี้ผลลัพธ์ที่ออกมาถือว่าน่าพอใจมาก ๆ
บางทีมันอาจเป็นเรื่องดีเลยก็ได้ที่ คล็อปป์ ปล่อยให้เป็น กราเฟนแบร์ค อิสระแบบนี้ต่อไป และให้เขาได้โชว์เกมรุกอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
กราเฟนแบร์ค ไม่ใช่ ไวนัลคุม คนใหม่ แต่จนถึงตอนนี้เขาทำผลงานได้ดีในแบบที่เหมือนกับ จีนี่ เวอร์ชั่นที่เพิ่มคุณภาพบางอย่างเข้าไปด้วย
"คุณไม่มีทางหา ฟาบินโญ่ คนใหม่ได้, ไม่มีทางหา โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ คนใหม่ได้, ไม่มีทางเจอ เฮนเดอร์สันคนใหม่ พวกเขาต่างก็เป็นนักเตะที่พิเศษ!"
"ในฐานะสตาฟฟ์ คุณต้องดูว่าคุณภาพของนักเตะแต่ละคนเป็นยังไง ลองดู ไรอัน เป็นตัวอย่างก็ได้"
"เราสร้างพื้นที่และจังหวะการเล่นเพื่อที่คุณภาพของเขาจะได้เฉิดฉายออกมา เพื่อที่พวกเขาจะได้สร้างความแตกต่างได้อยู่เสมอ"
"เพื่อที่พวกเขาจะได้ลงไปและสนุกกับการเล่นฟุตบอลได้ เพราะคนที่มีความสุข จะเล่นได้ดีกว่าคนที่แค่ลงไปทำตามคำสั่งของคนเป็นโค้ชอยู่แล้ว"
"ผมรู้สึกว่าฤดูกาลนี้เราเจอการผสมผสานกันที่ดีของเรื่องนั้น และมันเป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก ๆ! เราต้องพิสูจน์ถึงเรื่องนั้นในแต่ละวัน"
"แต่เราต้องทำในแบบที่มีคุณค่า, มีหลักการที่แน่วแน่ และสอดคล้องกับไอเดียของในอดีตด้วย สิ่งนั้นจะไม่มีวันเปลี่ยนไป" ไลน์เดอร์ ปิดท้ายในการพูดถึง กราเฟนแบร์ค
HOSSALONSO