ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทฤดูกาล 2023-2024 ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว หากมองจากภาพรวมทั้งหมด โดยทั้งฟอร์มการเล่นร่วมกันเป็นทีม และผลงานของนักเตะแต่ละคนที่ต้องบอกเลยว่าน่าประทับใจพอสมควร ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญทำให้พวกเขาติดอยู่ในกลุ่มท็อปโฟร์
"หงส์แดง" เก็บได้ 17 คะแนนจากทั้งหมด 24 แต้มในการเล่น 8 แมตช์ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซีซั่นนี้ แถมพวกเขาอาจจะทำผลงานได้ดีกว่านี้ก็ได้หากไม่เกิดเหตุดราม่า "วีเออาร์" ในแมตช์แพ้ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
สำหรับเรื่องการลุ้นแชมป์ลีกต้องบอกเลยว่ายังอีกไกลเนื่องจากมีอีกหลายแมตช์ที่ยังต้องลงชิงชัย แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่แสดงให้เห็นนั่นก็คือฟอร์มการเล่นของทีมที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และแข็งแกร่งมากกว่าเดิม นับตั้งแต่ที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ จัดการยกเครื่องหลายตำแหน่งโดยเฉพาะในแผงมิดฟิลด์
ในช่วงพักเบรกทีมชาติแม้อาจทำให้สาวก "เดอะ ค็อป" รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะทีมกำลังทำผลงานติดลมบน แต่อย่างน้อยหากคิดในมุมบวก ก็ถือเป็นการทบทวนสิ่งที่แฟนบอลได้เห็นในเกมลีกจนกระทั่งถึงตอนนี้ งานนี้ก็เลยขอเลือก 5 สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นกับ "เดอะ เร้ดส์" ในช่วง 8 เกมแรก
1. แชมป์เก่าก็โดนสอยร่วงได้
หลายๆ คนมักจะมองว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่ล้มยาก และมีทรัพยากรมากมายให้เลือกใช้งาน รวมทั้งยังมีงบประมาณสำหรับใช้เสริมทัพแบบยืดหยุ่น นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาเป็นทีมที่หาใครที่จะก้าวขึ้นมาทัดเทียมได้
สิ่งนี้ ลิเวอร์พูล รู้ซึ้งเป็นอย่างดี เพราะพวกเขาสามารถคว่ำทัพ "เรือใบสีฟ้า" ออกจากบัลลังก์วังทองในฤดูกาล 2019-2020 และยังเคยขับเคี่ยวชิงชัยกับ แมนฯ ซิตี้ จนถึงวันสุดท้ายของเกมลีกมาแล้ว 2 ครั้งภายใต้การฟาดฟันกันด้วยกึ๋นระหว่าง คล็อปป์ กับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า แมนฯ ซิตี้ ก้าวไปไกลกว่า "หงส์แดง" แต่กระนั้นก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในลีกเหมือนเมื่อก่อน เพราะล่าสุดพวกเขาต้องเจอกับสถานการณ์ยากลำบากในการแพ้ 2 แมตช์ติดต่อกันให้กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส และ อาร์เซน่อล ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีของทีมเลยทีเดียว
ประวัติศาสตร์บ่งชี้ว่ายังไม่มีทีมไหนที่สามารถชูโทรฟี่แชมป์ลีกได้ 4 สมัยติดต่อกันในอังกฤษ ส่วนสถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ แค่แต้มเดียวเท่านั้นในช่วง "ฟีฟ่า เดย์" ทั้งๆ ที่โปรแกรมในช่วงต้นซีซั่นของทีมยากกว่า "เรือใบสีฟ้า" ซะอีก
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล มีศักยภาพที่จะสามารถเก็บชัยชนะได้อย่างต่อเนื่อง และพร้อมที่จะไล่ล่าความสำเร็จในซีซั่นนี้ หลังพวกเขาแสดงให้เห็นถึงผลงานชั้นยอด และสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งในการปะทะกับ เชลซี, สเปอร์ส, ไบรท์ตัน และ นิวคาสเซิ่ล มาแล้ว
2. ตำแหน่งเบอร์ 6 ยังไม่ลงตัว
ลิเวอร์พูล พลาดคว้าตัว มอยเซส ไกเซโด้ และ โรเมโอ ลาเวีย ช่วงซัมเมอร์นี้ โดยสุดท้ายพวกเขาเบนเข็มไปเซ็นสัญญากับ วาตารุ เอ็นโด จาก สตุ๊ตการ์ท แต่ดูเหมือนว่ากัปตันทีมชาติญี่ปุ่นยังไม่ค่อยได้รับความไว้วางใจนั่นทำให้นักเตะได้ลงเล่นตัวจริงเกมลีกแค่แมตช์เดียวเท่านั้น
ปัจจุบัน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เติมเต็มในตำแหน่งกองกลางตัวรับ แต่ดูเหมือนหลายคนรู้สึกว่าการจับนักเตะไปยืนในตำแหน่งนั้นเป็นการใช้งานที่ผิดที่ และไม่เหมาะสมเลยเมื่อเทียบกับศักยภาพที่เขามีอยู่ในตัว
มีบางคนเชื่อว่า ไรอัน กราเฟนแบร์ก อาจจะเข้ามาตอบโจทย์ในการเล่นตำแหน่งผู้เล่นหมายเลข 6 ได้ แต่กระนั้น นายใหญ่ชาวเยอรมัน เลือกที่จะเซ็นสัญญากับ สตาร์ชาวดัตช์ ก็เพราะมองว่าเขาเหมาะอย่างยิ่งกับบทาทกองกลางเบอร์ 8 หรือ "บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์"
ฉะนั้นคำถามในเวลานี้ก็คือ ลิเวอร์พูล จะเอาใครมาเล่นตำแหน่งเบอร์ 6 โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในทีม หรือจะควักกระเป๋าเสริมทัพใหม่ในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 เดือนมกราคมนี้ เพราะถ้าฝืนใช้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ต่อไปมีแต่จะทำให้ทีมเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ
ตอนนี้ "เดอะ เร้ดส์" มีรายงานว่ากำลังจับตามอง อันเดร สตาร์ดังฟูลมิเนนเซ่น และมีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะกระชากตัวนักเตะมาร่วมทัพในช่วงตลาดแข้งฤดูหนาว ซึ่งหากทำสำเร็จน่าจะช่วยให้ทีมพัฒนาผลงานได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
3. ยูโรปา ลีก โอกาสดาวรุ่ง
นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ ลิเวอร์พูล ตั้งเอาไว้เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา แต่ในเมื่อทีมไม่สามารถทำอันดับติดท็อปโฟร์ได้ การต้องลงไปเล่นในฟุตบอลถ้วยรองยุโรปก็น่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับ นายใหญ่ชาวด๊อยท์ช ที่ได้ใช้ขุมกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดลงสนาม
ทุกๆ คนคงจะเห็นกันแล้วว่า คล็อปป์ มีการสลับสับเปลี่ยนขุมกำลังระหว่างทีมที่ใช้ในพรีเมียร์ลีก และการโรเตชั่นชุดใหญ่สำหรับโปรแกรมกลางสัปดาห์ทั้งในศึกคาราบาว คัพ และยูโรปา ลีก ยกตัวอย่าง กราเฟนแบร์ก กับ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ รวมทั้งนักเตะอีกหลายคนที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้
โอกาสที่พวกนักเตะดาวรุ่งและแข้งสำรองจะได้ลงสนามมีค่อนข้างยากตอนที่ "หงส์แดง" เล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สำหรับซีซั่นนี้การเล่นใน ยูโรปา ทำให้ทีมสามารถใช้งานพวกนักเตะเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่แบบไม่มีกั๊ก
"บอส" อาจเลือกทีมที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อทะลุเข้าไปในรอบลึกๆ แต่ในรอบแบ่งกลุ่มการให้โอกาสผู้เล่นอย่าง เบน โด๊ค, จาเรลล์ ควอนซาห์ และ โจ โกเมซ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะนอกจากจะทำให้ผู้เล่นได้พัฒนาฝีเท้าแล้ว ยังเป็นการเก็บความสดพวกตัวหลักด้วย
4. กองหลังเปราะบางเหลือเกิน
สิ่งที่ทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูลค่อนข้างรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก ก็คือการที่พวกเขามักจะเสียประตูเร็วในฤดูกาลนี้ และนั่นทำให้ทีมต้องเจอกับงานที่สุดแสนยากลำบากในการผิดสถานการณ์เพื่อจะคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการให้ได้
"หงส์แดง" มักจะต้องเจอสถานการณ์ตกเป็นรองคู่แข่งหลายแมตช์ ตั้งแต่เกมพบ บอร์นมัธ, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และ วูล์ฟส์ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจของนักเตะลิเวอร์พูลที่พร้อมจะสู้อย่างเต็มที่ และกลับมาขว้างชัยชนะได้สำเร็จ
สำหรับในเรื่องเกมรุกยังคงโดดเด่นเหมือนเดิม แต่เกมรับต้องบอกเลยว่าเปราะบางเหลือเกินซึ่งเป็นมาต่อเนื่องตั้งแต่ฤดูกาล 2022-2023 และแน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่ คล็อปป์ แอนด์ โค. ต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพราะบางครั้งการเจอกับทีมในระดับเดียวกันมันก็ยากที่จะพลิกสถานการณ์ได้
อย่างไรก็ตามหากมองภาพรวมก็ถือว่าทีมยังคงสร้างมาตรฐานได้ดี แต่การต้องออกไปเป็นทีมเยือน และโดนยิงนำไปก่อนย่อมเป็นงานยากพอสมควรเลยทีเดียว ฉะนั้นในช่วงพักเบรกทีมชาติถือเป็นโอกาสดีที่ คล็อปป์ จะได้ทำการวิเคราะห์เกมรับ และหาทางปรับจูนเพื่อทำให้ทีมเสียประตูยากขึ้น
5. แนวรุกสุดโหด
แม้ว่าเกมรับจะเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข แต่สวนทางกับเกมรุกเพราะทีมเล่นด้วยความดุดัน และสามารถสร้างโอกาสได้มากมาย ที่สำคัญพวกเขายิงประตูคู่แข่งได้เป็นว่าเล่น และแน่นอนว่านี่คือจุดเด่นที่ ลิเวอร์พูล ต้องรักษาเอาไว้
เมื่อเร็วๆ นี้ โคดี้ กัคโป โดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน แต่โชคดีที่ไม่ได้เจ็บหนักมาก ฉะนั้นต้องบอกเลยว่าซีซั่นนี้ คล็อปป์ มีตัวเลือกในเกมรุก 5 ราย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ เพราะนั่นทำให้เขาสามารถปรับเปลี่ยนแท็กติกได้หลากหลาย และเหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ในแต่ละเกม
จุดเด่นเรื่องเกมรุกของ ลิเวอร์พูล แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจากการที่พวกเขาสามารถยิงได้ 18 ประตูมากกว่า "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมอันดับ 2 กับ 3 ตามลำดับ ขณะเดียวกันยังยิงได้เท่ากับ สเปอร์ส ทีมจ่าฝูงด้วย
นอกจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จะยิงประตูได้อย่างต่อเนื่องแล้ว เขายังกลายเป็นผู้เล่นที่สร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมหลายครั้ง โดยปัจจุบัน "บังโม" ซัดไปแล้ว 6 ประตูกับ 4 แอสซิสต์จากการเล่นในทุกรายการ ขณะที่ ดีโอโก้ โชต้า, หลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเญซ และ กัคโป ก็สามารถช่วยทีมได้จนทำให้ "เดอะ เร้ดส์" ซัดรวมไปแล้ว 26 ลูก
ขณะเดียวกันทีมยังมีผู้เล่นพรสวรรค์เรื่องเกมรุกอย่าง โดมินิค โซโบซไล ที่คอยรอจังหวะตะบันประตูจากแถวสอง หรืออาจจะช่วยแอสซิสต์ให้ทีม ทั้งหมดนี้ถือเป็นทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมมากๆ ที่ทำให้ "หงส์แดง" สร้างโอกาสยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง
ทอมเม้ง