ลิเวอร์พูล ต้องลดเงื่อนไขนี้ลงให้ได้

ลิเวอร์พูล ต้องลดเงื่อนไขนี้ลงให้ได้
มีเรื่องให้เสียดายกันได้ทั้งสองฝั่งในผลเสมอที่ เอเม็กซ์ คอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยม..

ลิเวอร์พูลเสียดายโอกาสที่จะทำประตูหนีเป็น 3-1 ของ ไรอัน กราเฟนแบร์ค แต่ ไบรท์ตัน ก็เสียดายได้เช่นกันกับการยิงเหน่งๆ ข้ามคานออกไปของ ชูเอา เปโดร

ในภาพรวมแล้วต่างฝ่ายต่างมีช่วงเวลาที่เล่นดีและทำผิดพลาด แต่เป็นเกมที่ชิงไหวชิงพริบหาช่องทางโจมตีอีกฝั่งได้อย่างสนุก เป็นฟุตบอลที่ดูสนุกคู่หนึ่ง ไม่เสียดายเวลา 90 กว่านาทีที่รับชม

ผลเสมอนั้นผมคิดว่ายุติธรรมดีแล้ว

ผมชอบความเข้มข้นของเกมนี้ โดยเฉพาะการที่ทั้งสองทีมพยายามหาจังหวะเล่นงานกันด้วยวิธีการที่มองเห็นว่าศึกษาเกมกันมาเป็นอย่างดี

ไบรท์ตันเป็นเบอร์ต้นๆ ของการกล้าเล่นต่อบอลจากแดนหลัง การเตะบอลทิ้งสาดยาวจากประตูเหมือนเป็นเรื่องน่าขยะแขยงของทีมนางนวล แนวทางนี้เป็นมาตั้งแต่สมัย เกรแฮม พ็อตเตอร์ คุมทีมแล้วและ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ นำมาต่อยอดให้หนักแน่นขึ้นไปอีก

แต่ลิเวอร์พูลก็เป็นทีมที่บีบกดดันคู่แข่งในแดนบนระดับเบอร์ต้นๆ ของวงการเช่นกัน และเมื่อแนวทางของไบรท์ตันเป็นแบบนี้มาตลอดไม่เคยเปลี่ยน เราจึงได้เห็นนักเตะหงส์แดงจ้องจะพุ่งเข้าบีบแย่งบอลอย่างดุดันเป็นระยะๆ

ถ้าคุณเล่นกับทีมที่คุณรู้ว่าจะไม่เตะบอลทิ้งแน่ๆ คุณก็จะกล้าบีบเข้าใส่แบบเต็มตัวมากขึ้น ยิ่งคุณเองก็มีจุดเด่นที่การเพรสซิ่งแดนบนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณก็ยิ่งมีสมาธิจดจ่อกับการเคลื่อนที่เพื่อเตรียมรับ-ส่งบอลของผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม พร้อมอ่านจังหวะพุ่งเข้าใส่ทุกเมื่อ

ลิเวอร์พูลทำได้ดีในหลายๆ ครั้ง บีบแย่งบอลจากการตั้งเกมของไบรท์ตันมาโจมตี และมันยังเป็นที่มาของทั้ง 2 ประตูที่ทำได้ด้วย

ประตูตีเสมอ 1-1 ลิเวอร์พูลบีบพื้นที่กันเป็นทีม ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ปรี่เข้าใส่ ลูอิส ดังก์ ที่รับบอลคืนจากเพื่อน ดาร์วิน นูนเญซ ขยับคุมทางจ่ายให้ อีกอร์ ทันที เช่นเดียวกับ หลุยส์ ดิอาซ ที่สปรินท์เข้ามาปิดพื้นที่ของ คาร์ลอส บาเลบา มิดฟิลด์ตัวรับชาวแคเมอรูนของเจ้าถิ่น

แรงกดดันจากเอลเลียตต์ทำให้ ดังก์ ต้องรีบตัดสินใจ เขาเลือกแทงบอลแรงขึ้นหน้าให้เพื่อนที่กลางสนามแต่หลุดเป้าหมายทีเดียว 2 คนจนบอลไปถึง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่แปะบอลต่อให้ โดมินิก โซโบสไล เล่นงานกลับทันทีก่อนจะลงเอยด้วยการประสานงานของ ดิอาซ ดาร์วิน ไปจบที่เอลเลียตต์ข้ามบอลให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ สังหาร

เป็นประตูคุณภาพที่ลิเวอร์พูลจ้องอยู่ พวกเขาใช้จุดแข็งของตัวเองเล่นงานจุดแข็งของไบรท์ตัน

เช่นเดียวกับประตูแซงนำ 2-1

จุดเด่นที่ความกล้าเล่นจากแนวหลังของไบรท์ตันกลายมาเป็นจุดสลบของตัวเองอีกครั้ง จังหวะนี้คือการจ้องเล่นงานของลิเวอร์พูลอย่างชัดเจน เพราะทันทีที่ อีกอร์ กองหลังชาวบราซิลส่งบอลคืนให้ บาร์ท แฟร์บรุกเค่น ผู้รักษาประตู นูนเญซก็พุ่งเข้าใส่พร้อมๆ กับที่ โซโบสไล อ่านจังหวะรีบวิ่งเข้าไปรอฉกบอลที่นายทวารชาวดัตช์อาจจะส่งให้ ปาสกาล กรอสส์

แล้วแฟร์บรุกเค่นก็ส่งให้กรอสส์จริงๆ.. มันเป็นที่มาของการฉกบอลได้ก่อนที่โซโบจะถูกกรอสส์ทำฟาวล์ในเขตโทษ

หากในอีกทางหนึ่งลิเวอร์พูลก็เสียประตูให้เจ้าถิ่นจากแนวทางการเล่นของทั้งสองฝ่ายเช่นกัน เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ จ่ายบอลให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ เพื่อตั้งเกมบุกแต่ความชะล่าใจเพียงเล็กน้อยของกองกลางอาร์เจนไตน์ทำให้ถูก ไซม่อน อดิงกรา ที่อ่านจังหวะไว้ก่อนแล้วสปีดเข้ามาฉกบอลไปทำประตู

ฟาน ไดค์ ให้สัมภาษณ์ว่าจังหวะนี้เขาเองก็มีส่วนผิดที่ให้บอลเบาเกินไปและทำให้ แม็ค อัลลิสเตอร์ ตกอยู่ในสถานการณ์เล่นยาก ผมคิดว่าน้ำหนักความผิดพลาดของฟาน ไดค์ น่าจะอยู่ที่สัก 30 เปอร์เซนต์ อีก 20 เปอร์เซนต์คือความเร็วของดาวเตะไอวอรี่โคสต์ และ 50 เปอร์เซนต์ที่เหลือเป็นความชะล่าใจเองของแม็ค อัลลิสเตอร์

แต่จะเป็นสัดส่วนน้ำหนักความผิดพลาดอย่างไรนั้นเรื่องหนึ่ง ทั้ง 3 ประตูนี้ต่างก็แสดงให้เห็นถึงแนวทางการเล่นของทั้งสองทีมที่ก่อให้เกิดทั้งการลงโทษคู่แข่งและการถูกคู่แข่งลงโทษ

ผมชื่นชมทัศนคติของ เด แซร์บี้ ที่ให้ลูกทีมยืนหยัดกับแนวทางการเล่นของตัวเอง กล้าที่จะเล่นในแบบฉบับที่ตัวเองตั้งใจและอยากให้เป็น ความผิดพลาดเป็นเรื่องเกิดขึ้นได้แต่ทุกความผิดพลาดล้วนเป็นบันไดไต่ขึ้นไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิม

แน่นอนครับเดิมพันที่ เด แซร์บี้ กับลูกทีมต้องเจอนั้นไม่เท่ากับทีมใหญ่ๆ ที่ความกดดันจากรอบด้านสูงกว่ามาก พวกเขามีพื้นที่และโอกาสให้สำหรับความผิดพลาดซึ่งนั่นเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนา

เรื่องที่น่าชื่นชมไบรท์ตันในเกมนี้คือเมื่อโอกาสเปิดให้ พวกเขารีบคว้ามันทันที

การขึ้นเกมทางริมเส้นฝั่งซ้ายของ คาโอรุ มิโตมะ ที่ตื้อตันตลอดครึ่งแรกเพราะการเข้าบีบพื้นที่แย่งบอลกันทำให้มีการส่งบอลผิดพลาดทั้งสองฝ่ายเริ่มขับเคลื่อนได้มากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกม และพวกเขาก็ไม่รีรอเลยที่จะย้ำการเข้าทำจากทางนั้นซึ่งเป็นอาวุธอันตรายที่สุดของพวกเขาในชั่วโมงนี้

เป็นเพราะสถานการณ์ที่กำลังเป็นรอง ไบรท์ตันจึงต้องยกระดับความเข้มข้นขึ้น กล้าเสี่ยงขึ้น ขณะที่เรี่ยวแรงและสมาธิในการรับมือของลิเวอร์พูลก็พร่องไปจากครึ่งแรก

คล็อปป์ต้องแก้ผู้เล่นแนวรับตรงนั้นถึง 2 ครั้ง อิบราฮิมา โกนาเต้ ลงมาแทน โฌแอล มาติป ในตำแหน่งเซนเตอร์แบ๊กฝั่งขวาหลังเริ่มถูกรุกหนักมากขึ้น และ โจ โกเมซ ลงแทน เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในตำแหน่งแบ๊กขวาหลังเสียประตูตีเสมอ 2-2 ซึ่งก็มาจากการได้ฟรีคิกจากการลุยทางฝั่งนั้น

ไม่มีอะไรน่าผิดหวังสำหรับหนึ่งคะแนนในเกมนี้ ผลเสมอก็ดูคู่ควรดีกับรูปเกมที่ออกมา โอกาสทองของกราเฟนแบร์คเป็นจังหวะสำคัญแน่นอนเพราะถ้าเข้าไปจะทำให้ทีมหนีเป็น 3-1 แต่ลูกนั้นจะว่าง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากก็คงไม่ขนาดนั้น บอลเปิดแรงมาจากโซโบสไลทางขวาหลุดไปถึงเสาสอง ลูกกระดอนพื้นขึ้นมาในระดับหัวเข่า มุมยิงมีน้อยแถมบอลยังมาเร็วต้องรีบยิง

เราเห็นจังหวะแบบนี้หลายครั้งที่ผู้เล่นฝ่ายรุกส่งบอลเข้าประตูไม่สำเร็จ ยิงโดนไม่เต็มเท้าบ้าง แฉลบหน้าแข้งออกหลังบ้าง ผ่านหน้าประตูกลับไปทางเดิมบ้าง หรือข้ามคานไปก็มี ฉะนั้นการยิงชนคานของกราเฟนแบร์คในจังหวะนั้นแม้จะน่าเสียดายแต่ก็เข้าใจได้ถึงความไม่ง่ายของมัน

จังหวะนี้ไพล่ไปมองเรื่องดีมันคือการประสานงานที่ยอดเยี่ยมมากกว่า โซโบสไลฝากบอลให้ดาร์วินแล้ววิ่งเข้าช่องรับบอลที่หัวหอกอุรุกวัยทิ่มมาให้ก่อนจะเปิดบอลให้เพื่อนเข้าทำ

ง่ายๆ แต่มีประสิทธิภาพ เพียงแต่ลูกนี้ไม่เป็นประตูก็เท่านั้น

ในระหว่างเกมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นอยู่บ้าง เกมบีบที่เข้มข้นและรวดเร็วของไบรท์ตันสร้างปัญหาได้ดี แต่ลิเวอร์พูลก็มีการต่อบอลประสานงานที่เข้าตาหลายหน ถ้าจะมีอะไรติดขัดอยู่บ้างก็อาจจะเป็นการตัดสินใจของนูนเญซในจังหวะรุกที่บางครั้งยังเหมือนเกรงใจเพื่อนเกินไปเลือกแปะบอลคืนหลังทำให้เสียจังหวะพาบอลทะลุขึ้นหน้า แต่ในภาพรวมไม่ได้มีอะไรเสียหายนัก ความมุ่งมั่นทุ่มเทของเขายังคงสำคัญต่อทีม

อีกจุดก็คงจะเป็นการปล่อยให้มิโตมะได้มีบทบาทขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย ถูกเน้นถูกย้ำซ้ำๆ ตรงเกมรับด้านขวาจนปั่นป่วน แน่นอนว่าต้องชมไบรท์ตันที่หาช่องทางส่งบอลไปสู่พื้นที่ที่ต้องการได้แต่ลิเวอร์พูลก็ตัดเกมบุกของเจ้าบ้านที่จะไปขึ้นทางนั้นไม่ได้เลย

สุดท้ายแล้วลิเวอร์พูลก็ทำได้แค่เกือบจะแซงชนะคู่แข่งเป็นครั้งที่ 6 ในฤดูกาลนี้ การถูกนำก่อนแล้วกลับมาชนะได้นั้นเป็นความน่าพอใจอย่างหนึ่งเพราะมันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ที่จะเป็นผู้ชนะ แต่การโดนยิงไปก่อนย่อมไม่ใช่เรื่องดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วและคงไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนอยากให้มันเกิดขึ้น

ลิเวอร์พูลต้องลดเงื่อนไขนี้ลงให้ได้ ฤดูกาลนี้พวกเขาลงเตะ 8 เกมในพรีเมียร์ลีกถูกนำไปก่อน 5 ครั้ง ลงเตะ 11 เกมในทุกรายการโดนยิงนำไปก่อนถึง 7 ครั้ง

คล็อปป์เองก็คงพยายามแก้ปัญหานี้อยู่ เช่นเดียวกับการปรับแก้จุดบกพร่องทั้งหลายที่เขามองเห็น

ผลเสมอในการไปเยือนทีมอย่างไบรท์ตัน ณ เวลานี้ไม่ใช่เรื่องน่าผิดหวังอะไรเลย เดอะค็อปบางคนอาจจะยังเสียดายการยิงชนคานของกราเฟนแบร์คหรือการอุตส่าห์รักษาสกอร์นำได้ถึงช่วงก่อนเข้าสิบนาทีสุดท้าย แต่ก็นั่นล่ะครับ ถ้ามองด้วยสายตาของแฟนบอลไบรท์ตันบ้างพวกเขาก็คงเสียดายเช่นกันที่น็อกหงส์แดงไม่ได้

มันคงไม่ใช่สองคะแนนที่เสียไปหรอก แต่เป็นหนึ่งคะแนนที่ได้มาต่างหาก เกมนี้สู้กันได้สมศักดิ์ศรีและบทสรุปนี้ยุติธรรมที่สุดแล้ว

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport