แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบกับความพ่ายแพ้ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบเกือบๆ 5 ปีเลยทีเดียว
ย้อนกาลไปยังหนก่อนที่เกิดขึ้นนั้น มิเกล อาร์เตต้า ยังทำงานเป็นผู้ช่วยข้างกายของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ขณะที่ 7 จาก 11 ผู้เล่นชุดนั้นต่างแยกย้ายออกไปตามทาง
ตัดภาพมา ณ ตอนนี้ ทีมเรือใบในฐานะแชมป์เก่าไม่ใช่แค่แพ้เกมลีก 2 นัด หากแต่ยังนับเป็น 3 แมตช์ในประเทศ รวมเกมพ่าย นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ตกรอบคาราบาว คัพ ตามด้วยแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส และ อาร์เซน่อล ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มี โรดรี้ มิดฟิลด์คีย์แมนลงสนามเนื่องจากติดโทษแบน
ใดๆ ก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อเมื่อพวกเขาเดินหน้าฟาดชัยร้อยเปอร์เซ็นต์มาก่อนจะถึงจุดนี้ พร้อมกับเปิดประตูกว้างสำหรับศึกชิงแชมป์ลีกซีซั่น 2023/24
อย่างที่ว่าไว้ แพ้ลีก 2 นัดติดแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก มาดูกันว่าเกิดขึ้นหนก่อนเป็นอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง...?
เหตุเกิด
เท้าความเมื่อปี 2018 แมนฯ ซิตี้ สถาปนาตนเป็น "เต็งหาม" ไม่ได้ต่างจากทุกวันนี้ โดยฤดูกาลก่อนหน้านั้นเพิ่งปลดล็อกแชมป์ลีกสมัยแรกในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ด้วยการเก็บแต้มทะลุสถิติสูงสุดที่ 100 คะแนน ทั้งยังเริ่มต้นซีซั่นใหม่แบบไม่มีแผ่ว
พวกเขาเสียแค่ 4 แต้มจาก 15 นัดแรก ทำท่าจะนำม้วนเดียวจบ กระทั่งเข้าเดือนธันวาคมออกไปแพ้ เชลซี ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ 0-2 และถึงแม้ดีดตัวกลับมาได้ทันควันด้วยชัยชนะเหนือ เอฟเวอร์ตัน 3-1 ก็ต้องมาสะดุดหนักกว่าเก่าในเวลาต่อมา
ก่อนเทศกาลคริสต์มาส ลูกทีม เป๊ป โดนทำช็อกโดย คริสตัล พาเลซ คาบ้าน 3-2 ซึ่งทุกคนคงจำกันได้กับประตูสุดมหัศจรรย์ของ แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ไม่พอในวันบ็อกซิ่งเดย์ยังพลาดท่าออกไปพ่าย เลสเตอร์ ซิตี้ 0-2 โดยมีประตูงามหยดไม่แพ้กันจาก ริคาร์โด้ เปเรยร่า
"มันเป็นผลงานคล้ายๆ กันกับเกม คริสตัล พาเลซ เราเริ่มต้นได้ดีแต่กลับเสียประตูจากโอกาสครั้งแรกที่คู่แข่งเข้ามาถึงหน้าปากประตูของเรา ในแง่จิตใจพวกเราดูจะขาดความเชื่อมั่นในสถานการณ์แบบนั้น" กวาร์ดิโอล่า ให้การไว้ในตอนนั้น
"พวกเราต้องยอมรับมัน เราต้องตระหนักรับรู้ว่าเราต้องทำงานให้หนักยิ่งขึ้น พยายามเก็บชัยชนะให้ได้ทันทีเพื่อเรียกความมั่นใจกลับมา"
ขณะที่บทวิเคราะห์หลังเกมส่วนใหญ่ในเวลานั้นโฟกัสไปกับประเด็นที่ แมนฯ ซิตี้ ประสบปัญหาฟอร์มการเล่นเมื่อขาดมิดฟิลด์ตัวรับคนสำคัญ
คุ้นๆ ไหม!?
แฟร์นันดินโญ่ คือคนที่หายไปด้วยปัญหาบาดเจ็บต้นขา
การตอบสนอง
ไม่เหมือนฤดูกาลก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ พอจะเหลือพื้นที่และเวลาให้ก่อความผิดพลาดเมื่อมี ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นมาท้าทาย
ขุนพล "หงส์แดง" ภายใต้บังเหียน เจอร์เก้น คล็อปป์ นำ 7 แต้มบนแท่นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกวันบ๊อกซิ่ง เดย์ ตามมาด้วย ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในฐานะรองจ่าฝูง
เด็กๆ ของ เป๊ป หาใช่ตื่นตระหนกไม่ พวกเขาแก้ตัวจากความปราชัยที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ด้วยการบุกชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-1 ช่วยเรียกความมั่นใจถูกที่ถูกเวลาก่อนทำศึกชี้แชมป์เปิดบ้านต้อนรับ ลิเวอร์พูล
ด้าน แฟร์นันดินโญ่ กลับมาได้ตั้งแต่ชัยชนะที่ เซนต์ แมรี่ส์ และแน่นอนว่าเขามีชื่อออกสตาร์ทต่อเนื่องได้ในบิ๊กแมตช์รับมือ "หงส์แดง" ในช่วงหลังขึ้นปีใหม่หมาดๆ
ซิตี้ ชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ในซูเปอร์แมตช์ห้ามกระพริบตาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ติดทำเนียบเกมคุณภาพตลอดกาลในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก และทำเอาเหล่า เดอะ ค็อป เสียดายกันไม่หายกับช็อตที่ จอห์น สโตนส์ สไลด์เคลียร์บอลแบบเส้นยาแดงผ่าแปด!
ฉากจบ
ชัยชนะล้ำค่านัดนั้นลดหลั่นช่องว่างจี้จ่าฝูงเหลือเพียง 4 คะแนน และจากจุดนั้น แมนฯ ซิตี้ ได้เปิดโหมดไล่ล่าอย่างเต็มตัว พวกเขาได้เฮ 4 เกมซ้อนก่อนสะดุดพ่ายในเกมเยือน นิวคาสเซิ่ล ของ ราฟาเอล เบนีเตซ ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
เซร์คิโอ อเกวโร่ ยิงให้ทีมเรือใบออกนำตั้งแต่นาทีแรก สุดท้ายกลับเจอหมัดน็อก 2 เม็ดรวดจากขุนพลแข้ง "สาลิกาดง" ซึ่งครองบอลตลอดเกมเพียง 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาใครต่อใครอดคิดไม่ได้ว่า "เอล ราฟา" จะส่งมอบโทรฟี่ให้ทีมเก่าของเขา ในขณะที่สื่อเจ้าดัง บีบีซี พาดหัวคอลัมน์ไว้ว่า "หรือว่า ซิตี้ จะทำแชมป์หลุดมือที่ เซนต์ เจมส์ พาร์ค?"
ถึงกระนั้นแน่นอนว่าคำตอบคือ ไม่
กวาร์ดิโอล่า และผองแข้งเรือใบไม่ปล่อยคะแนนหลุดมืออีกต่อไปในเส้นทางที่เหลือ หรือเอาเข้าจริงพวกเขาก็ไม่อาจสะดุดได้อีกแล้ว
แมนฯ ซิตี้ ฟาดชัยเรียบทั้งหมด 14 เกมพรีเมียร์ลีก เข้าป้ายป้องกันแชมป์โดยมี 98 คะแนน มากกว่า ลิเวอร์พูล 1 แต้ม