ฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูล ตกเป็นฝ่ายตามหลังคู่แข่ง 16 นัด แต่พลิกกลับมาเอาชนะได้เพียง 3 เกม
แต่ซีซั่นนี้ จากชัยชนะเหนือ บอร์นมัธ, นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด และวูล์ฟส์ นั้น ทำให้พวกเขาทำตัวเลขเท่ากับปีก่อนทั้งปีไปแล้ว
ที่ โมลินิวซ์ การมีตัวเปลี่ยนเกมอย่าง หลุยส์ ดิอาซ, ฮาร์วี่ เอลเลียตต์ และ ดาร์วิน นูนเญซ ทำให้ครึ่งหลังรูปเกมออกมาดีขึ้น
ความลึกบนตำแหน่งมิดฟิลด์และแดนหน้าเป็นในฤดูกาลนี้กลายเป็นจุดแข็งของ ลิเวอร์พูล
หากเมื่อใดเพลี้ยงพล้ำตกเป็นรอง เพียงเจอร์เก้น คล็อปป์ จิ้มตัวสำรอง ปัญหาก็จะคลี่คลาย
ดาร์วิน ที่ลุกจากม้านั่งสำรองลงมาแล้วทำได้ในเกมเจอ นิวคาสเซิ่ล จนพา ลิเวอร์พูล ชนะ 2-1
กราฟฟิกด้านล่างแสดงให้เห็นถึงเรื่องที่โมเมนตัมเปลี่ยนไปตอนที่มีการเปลี่นตัว (ดูจากลูกศร)
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ลิเวอร์พูล ได้ประโยชน์อย่างมาก
ชาร์ตนี้ทำให้เห็นถึงความเป็นไปได้สูงสุดในการที่แต่ละทีมจะทำประตูได้มากแค่ไหนในทุก ๆ 3 นาทีของการแข่งขัน (แท่งสีอ่อน) และความแตกต่างระหว่างโอกาสทำประตูของแต่ละทีมในช่วงนั้น (แท่งสีเข้มกว่าจะอยู่ตรงฝั่งทีมที่ได้ครองเกม)
ไอเดียของกราฟฟิกนี้คือการทำให้เห็นถึงโมเมนตัมโดยรวม และช่วงเวลาการครองเกมได้ในการแข่งขัน และก็อย่างที่บ่งบอกให้เห็นว่าการเปลี่ยนตัวในช่วงครึ่งหลังของ ลิเวอร์พูล ทำให้พวกเขาสร้างความอันตรายได้เยอะขึ้น
จากนั้น ดาร์วิน, ดิอาซ และ เอลเลียตต์ ก็ทำแบบเดิมได้ และพลิกสถานการณ์ได้ในเกมกับ วูล์ฟส์
กราฟฟิกด้านล่างแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อ ดาร์วิน ลงแทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ในช่วงพักครึ่งแล้ว ลิเวอร์พูล ก็มีรูปเกมที่ดีขึ้น
นอกจานี้ยังเกิดแพทเทิร์นคล้าย ๆ กันอีกในตอนที่ตัวสำรองคนอื่นโดนส่งลงสนาม
ตัวสำรองคนอื่นที่ลงมาในช่วงเวลาที่เหมาะสมมันส่งผลกับเกมอย่างมากเช่นกัน
จาเรลล์ ควอนซาห์ ลงสำรองและทำผลงานได้ดีในเกมที่พวกเขาได้ 3 แต้มจาก เซนต์ เจมส์ พาร์ค
ขณะที่ วาตารุ เอ็นโด ช่วยปิดเกมได้ในเกมที่ชนะ บอร์นมัธ หลังจาก แม็ค อัลลิสเตอร์ โดนไล่ออกจากการตัดสินที่ผิดพลาด ทั้งที่ เอ็นโด เพิ่งย้ายมาอยู่กับทีมไม่กี่วันก่อนหน้านั้น
ขนาดการเปลี่ยน 3 แนวรุกที่ประกอบด้วย โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โชต้า, ดิอาซ ออกจากสนาม รวมถึงการถอด กัคโป ออกในเกมเปิดซีซั่นกับ เชลซี
สิ่งที่เห็นจากกราฟฟิกนี้ก็ยังสร้างความแตกต่างได้
การส่งคนที่มีสภาพร่างกายสดที่ยังวิ่งได้เร็วและมีทักษะที่ดีมันช่วยเปลี่ยนโมเมนตัมได้ แม้ว่าท้ายที่สุดแล้ววันนั้น ลิเวอร์พูล จะไม่ชนะก็ตาม
ก่อนหน้านี้ข้อถกเถียงต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทว่าสิ่งที่ปรากฏออกก็กลบเสียงเหล่านั้นไปอย่างรวดเร็ว
ความกังวลเรื่องแนวรับที่ไร้ตัวเสริม การไร้กองหลังคนสำคัญพร้อมกัน 3 คน เฟอร์กิล ฟาน ไดค์, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ อิบราฮิม่า โกนาเต้
พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทีมของ คล็อปป์ ชุดนี้สามารถรับมือได้
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผลการแข่งขันที่ออกมานั้นเป็นที่น่าพอใจ
แต่ ลิเวอร์พูล ยังเจอกับสถิติที่บ่งชี้ว่า ฤดูกาลนี้ พวกเขาต้องรับมือกับการสร้างโอกาสทำประตูของคู่แข่งเฉลี่ยตกนัดละ 13 ครั้ง
โดยเป็นตัวเลขที่มากกว่าซีซั่นที่แล้วที่ตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 9 ครั้งต่อเกม
และเมื่อพิจารณาจากสถิตินี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ลิเวอร์พูล เจอบททดสอบที่ยากขึ้น จึงทำให้เกมรับคือกุญแจสำคัญที่ต้องถีบตัวขึ้นมา
สิ่งที่ช่วย ลิเวอร์พูล ได้คือการเล่นแบบไม่ตื่นตระหนก และมีความใจเย็นในการเล่น
โดมินิค โซโบซไล ให้กับการแก้เกมและพูดปลุกใจในช่วงพักครึ่งเกมกับ วูล์ฟส์
"ตอนพักครึ่งผู้จัดการทีมพูดเรื่องอารมณ์ร่วมกับเรา รวมถึงประเด็นที่ว่าเราต้องทำอะไรในครึ่งหลัง"
"เขาพูดถึงงานของเราและสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ในเกม"
"ผมคิดว่าเรามีการเปลี่ยนระบบกันด้วย และจากนั้นทุกคนก็ทำงานของตัวเองจนเราสามารถพลิกเกมได้"
ส่วน เอลเลียตต์ ก็อธิบายสาเหตุที่ ลิเวอร์พูล พลิกสถานการณ์กลับมา
"ตอนนี้ขุมกำลังเชิงลึกของทีมใหญ่ขึ้น" เอลเลียตต์ เพิ่งว่าไว้กับ ดิ แอธเลติก ไม่กี่วันก่อน
"ในตลาดการเสริมทัพเราพิจารณาถึงตำแหน่งที่เราต้องการมีตัวเลือกมากกว่าเดิม และตอนนี้เราก็มีตัวเลือกที่เต็มไปด้วยคุณภาพในทุกตำแหน่ง".
.
.
.
ช่วงเวลาที่ ลิเวอร์พูล เจอสถานการณ์แย่สุดเมื่อซีซั่นที่แล้ว
คือตอนที่ ดิอาซ กับ ดีโอโก้ โชต้า ไม่สามารถลงสนามพร้อม ๆ กัน จนทำให้ คล็อปป์ ต้องหันไปพึ่ง โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ หรือ เจมส์ มิลเนอร์ เพื่อสร้างความแตกต่าง
ปีที่แล้ว คล็อปป์ แทบไม่ได้เปลี่ยนตัวในช่วงพักครึ่งเลย เพราะทางเลือกบนม้านั่งสำรองไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร พอถึงเวลาเมื่อเขาเลือกจะทำ คนที่ลงไปก็ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้
มองย้อนกลับไปถึงเกมที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0 ตอนนั้น ฟีร์มีโน่ ถูกเรียกใช้งานให้ลงไปแทน ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่
หรือเกมแพ้ เบรนท์ฟอร์ด 1-3 ที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, นาบี เกอิต้า และ โฌแอล มาติป ต้องรับหน้าที่เปลี่ยนเกมให้ได้หลังถูกส่งลงสนามในช่วงพักครึ่ง
อย่างที่กล่าวไปบรรทัดแรกว่า ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาเอาชนะคู่แข่งหลังตกเป็นรองก่อนได้ 3 เกมเท่ากับปีก่อนทั้งซีซั่น
ซึ่งเหตุผลหลักคือการมีขุมกำลังคุณภาพที่เปลี่ยนเกมได้
บรรดานักเตะแบ็กอัพยังมีอายุน้อยกว่า, มีสภาพร่างกายสดกว่า และมีความหลากหลายกว่าปีก่อน
ไรอัน กราเฟนแบร์ก พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญ และ ลิเวอร์พูล ก็จะได้ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ กับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมาในเร็วๆ นี้
ฤดูกาล 2022/23 คล็อปป์ ใช้ตัวสำรองครบโควตา 5 คนแค่ 7 เกมเท่านั้น และไม่เคยมีเกมไหนเลยที่เขาใช้โควต้าครบก่อนถึงนาทีที่ 80
ขณะที่ฤดูกาลนี้เขาเปลี่ยนตัวสำรองไปแล้ว 24 ครั้งจากจำนวนเต็ม 25 หน ซึ่งนักเตะแทบทุกคนต่างมีส่วนช่วยทำให้ทีมยังไม่แพ้ใคร
บางทีประโยคที่บอกว่า "ลิเวอร์พูล ยุคใหม่" น่าจะเปลี่ยนเป็น "ลิเวอร์พูล ยุคเติมน้ำมัน"
เพราะคุณภาพกับปริมาณมันเป็นสิ่งที่กำลังสร้างความแตกต่างได้มาก ๆ
HOSSALONSO