ลิเวอร์พูลเปลี่ยนวิธีคิดโดยสิ้นเชิงในครึ่งหลัง

ลิเวอร์พูลเปลี่ยนวิธีคิดโดยสิ้นเชิงในครึ่งหลัง
การหาวิธีเอาชนะของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเกมล่าสุดที่โมลินิวซ์ กราวนด์ นั้นน่าสนใจนะครับ

หลังครึ่งแรกอันน่าห่อเหี่ยว นายใหญ่ชาวเยอรมันปรับแท็คติกของทีมทันทีตั้งแต่ช่วงพักครึ่ง และมันนำเสนอมิติเพิ่มเติมให้เราเห็น

โดมินิก โซบอสไล กับ เคอร์ติส โจนส์ ที่เล่นในลักษณะหมายเลข 8 ในครึ่งแรกขยับต่ำลงไปเล่นร่วมกันในบทบาทคู่กองกลางเบอร์ 6 แทน อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่ถูกเปลี่ยนตัวออก หลักๆ แล้ว โซบอสไล จะรักษาตำแหน่งหน้าแนวรับมากกว่า โจนส์ ที่จะดันขึ้นไปเล่นเกมรุกในจังหวะบุกแต่จะลงมายืนคู่กลางช่วยกันกับโซโบเมื่อเป็นฝ่ายรับ

หลุยส์ ดิอาซ ที่ลงมาแทน แม็ค อัลลิสเตอร์ เล่นตัวรุกฝั่งซ้ายตามตำแหน่งถนัด

โกดี้ คักโป ถอยจากตำแหน่งฟอลส์ไนน์มาเล่นกองหน้าตัวต่ำ ดีโอโก้ โชต้า ขยับจากกองหน้าฝั่งซ้ายเข้าไปเล่นกองหน้าตัวเป้า ทางซ้ายยังเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ปรับจาก 4-3-3 ไปเป็น 4-2-3-1

การปรับระบบการเล่นนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง มันทำให้เกมตรงกลางไม่ถูกเจาะทะลวงง่ายๆ เหมือนครึ่งแรกที่มีกองกลางตัวรับแค่คนเดียว แต่อีกส่วนคือแนวคิดในสนามของลิเวอร์พูลด้วย

กลับมาเตะในครึ่งหลัง นักเตะหงส์แดงกล้าเล่นบอลแนวลึกขึ้น ขยับตัวกันรวดเร็วขึ้น บอลไปข้างหน้ามากขึ้น และยังใช้พื้นที่ได้เต็มสนาม

อลัน เชียเรอร์ แห่งรายการแมตช์ออฟฟเดอะเดย์บอกว่าลิเวอร์พูลเปลี่ยนวิธีคิดโดยสิ้นเชิงในครึ่งหลัง จากที่งกๆ เงิ่นๆ หาตัวจ่ายไม่ได้หรือไม่กล้าเปลี่ยนแกนวางบอลข้ามไปให้ผู้เล่นริมเส้นจนทำให้เสียบอลบ่อยครั้ง กลายเป็นการมองสนามกว้างขึ้น เห็นผู้เล่นด้านข้างมากขึ้น และกล้าผ่านบอลขึ้นหน้ามากขึ้น

แน่นอน รวมถึงความกระตือรือร้นที่คงจะได้ยาแรงจากคล็อปป์มาในห้องแต่งตัวด้วยที่ทำให้เกมรุกของทีมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ผมสังเกตเห็นการขยับตัวของนักเตะของลิเวอร์พูลในครึ่งแรกไม่กระปรี้กระเปร่าเลย มันดูเนือยและเชื่องช้า ยังบ่นเบาๆ ที่โจนส์ยืนในตำแหน่งถูกวางสนุ้กฯ อยู่บ่อยๆ คือยืนในตำแหน่งที่มีคู่แข่งขวางทางส่งบอลของเพื่อน และไม่ยอมเบี่ยงตัวออกมาให้เพื่อนที่ได้บอลมองเห็น มันทำให้ตัวเลือกในการปล่อยบอลหายไปหนึ่งคนฟรีๆ

ครึ่งหลังทุกอย่างดูดีขึ้น ไม่มีการยืนในตำแหน่งถูกวางสนุ้กฯ อีก ทุกคนขยับตัวตลอดและพร้อมสำหรับต่อบอลเข้าทำเกมรุก แท็คติกเพิ่มกลางรับจากเดี่ยวเป็นคู่นั้นก็ยังช่วยให้เกมตรงกลางนิ่งขึ้น ไม่ลุกลี้ลุกลนปั่นป่วนเหมือนครึ่งแรก เกมจึงค่อยๆ ห่างจากการถูกเจ้าถิ่นคุกคามไปเรื่อยๆ จนสามารถครอบครองเกมได้เกือบทั้งหมด

ผมคิดว่าการพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกครั้งในเกมนี้มีหลายปัจจัยประกอบกัน การปรับกลางรับเดี่ยวเป็นกลางรับคู่นั้นก็ใช่ แต่แนวคิดในการเล่นอย่างที่เชียเรอร์วิเคราะห์ไว้สำคัญกว่า

กล้าขึ้น มองกว้างขึ้น ขยันขึ้น ส่งบอลไปข้างหน้าให้เร็วกว่าเดิม

ต้องชื่นชมวูล์ฟแฮมป์ตันด้วยเช่นกันกับการเล่นในครึ่งแรก นักเตะหมาป่าได้เสียงเชียร์และใช้ความสดพุ่งเข้าหาอาคันตุกะจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ตลอดไม่ให้เล่นง่าย ทำเกมบุกได้น่ากลัวด้วยการใช้จุดเด่นของนักเตะที่เป็นทีเด็ด ทั้งยังเล่นเกมโต้กลับได้อันตราย เมื่อนักเตะลิเวอร์พูลเสียบอลง่ายๆ เองหลายหนก็ยิ่งเข้าทาง

นักเตะทีเด็ดที่ว่าของ แกรี่ โอนีล กุนซือวูล์ฟส์ฯ คือ ฌองริคเนอร์ แบลล์การ์ด กับ เปโดร เนโต้ สองคนนี้มีการลากเลื้อยที่มันสะบัด คนหนึ่งคล่องอีกคนถึกทนแต่ต่างก็มีความเร็วเป็นอาวุธ กล้าลุยใส่ กล้าเลี้ยงแหวกผ่าน กล้าไปเองในสถานการณ์ตัวต่อตัวหรือกระทั่งสองต่อหนึ่ง

ลิเวอร์พูลปั่นป่วนกับ 2 คนนี้มาก การตัดฟาวล์จากกองกลางก็ไม่เด็ดขาดยิ่งทำให้หยุดไม่อยู่ ใบเหลืองตั้งแต่นาทีที่ 4 ของแม็ค อัลลิสเตอร์ ทำให้กองกลางอาร์เจนไตน์เจองานที่ลำบาก ตัดเกมมั่วซั่วอีกครั้งสองครั้งอาจถูกไล่ออกได้เลย และตำแหน่งการยืนของเขากับการเล่นของ เนโต้ และ แบลล์การ์ด ก็เอื้อให้เป็นอย่างนั้นเสียด้วย

บอลของวูล์ฟส์ฯ ในครึ่งแรกจึงทะลุทะลวงไปข้างหน้าถึงเขตโทษลิเวอร์พูลแทบทุกครั้งที่ได้ทำเกมบุกหรือโต้กลับ

การที่คล็อปป์ตัดสินใจเปลี่ยนตัวทันทีตั้งแต่พักครึ่งแสดงให้เห็นว่าจุดนี้คือปัญหาสำคัญ มันไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่แต่ก็เข้าใจได้ถึงโจทย์ที่ทีมกำลังเผชิญ เขาต้องแก้เกมไม่ใช่แค่เพื่อให้ไม่แพ้ แต่เพื่อต้องแซงชนะให้ได้ด้วยมันคือเกมที่ต้องชนะ

เกมรับที่ถูกทดสอบอย่างหนักในครึ่งแรกเอาตัวรอดไปได้แบบเต็มกลืนทั้ง โจ โกเมซ โฌแอล มาติป และ จาเรลล์ ควอนซาห์ ที่ถือว่าสอบผ่านในระดับหนึ่งกับความนิ่งในเกมประเดิมสนามฐานะตัวจริง กระนั้นก็คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าลิเวอร์พูลโชคดีที่ไม่เสียประตูไปมากกว่านี้โดยเฉพาะจังหวะที่ถูกเนโต้กระชากไปโยนให้ มาเตอุส คุนญ่า โหม่งจ่อๆ ไม่โดน

ครึ่งแรกจึงจบลงด้วยอาการหัวใจยังไม่ปีนขึ้นมาจากตาตุ่มของเหล่าเดอะค็อป วูล์ฟส์ฯ บุกมาแต่ละทีเขย่าขวัญสั่นประสาทเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันกองเชียร์หมาป่าก็คงมีอะไรตะขิดตะขวงอยู่ในใจ..

มันต้องเป็น 2 หรือ 3 ประตูไปแล้ว..

ความเด็ดขาดในการลงโทษคู่ต่อสู้คือความแตกต่างระหว่างทีมเล็กกับทีมใหญ่ เราเห็นอะไรแบบนี้มาแล้วนักต่อนัก และการพลาดของคุนญ่าก็กลายเป็นจังหวะสำคัญของเกม.. โดยเฉพาะเมื่อการแข่งขันได้บทสรุป

พลันที่ลิเวอร์พูลตีเสมอได้ในครึ่งหลัง กล้องในสนามก็จับไปที่ใบหน้าของกองหน้าชาวบราซิล เขาคงเสียดายโอกาสทองของตัวเอง จาก 2-0 ที่ควรจะได้จึงกลับกลายเป็น 1-1 และกำลังใจของลิเวอร์พูล

นักเตะวูล์ฟส์ฯ ที่ใช้แรงไปมากในครึ่งแรกประกอบกับการแก้เกมของคล็อปป์และความมุ่งมั่นของนักเตะลิเวอร์พูลทำให้ครึ่งหลังเป็นอีกภาพหนึ่ง ลิเวอร์พูลกลับมาได้จริงๆ ด้วยฟุตบอลที่หลากหลายกว่าเดิม

โชต้าที่ขยับจากฝั่งซ้ายในครึ่งแรกเข้ามาตรงกลางสะกิดบอลหน้าเขตโทษให้ซาลาห์ไหลยาวไปเสาไกลให้คักโปทิ่มจ่อๆ ตีเสมอเป็น 1-1 หลังผ่านครึ่งหลังไปสิบนาที

ก่อนคักโปจะยิงตีเสมอไม่กี่อึดใจ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ กับ ดาร์วิน นูนเญซ ออกจากม้านั่งสำรองมายืนรอเปลี่ยนตัวที่ข้างสนาม และคล็อปป์ก็ไม่เปลี่ยนใจแม้สถานการณ์จะกลับมาเท่ากันแล้ว นั่นเพราะไม่ว่าจะเป็น 0-1 หรือ 1-1 ทีมก็ยังต้องการประตู

คนที่ถูกเปลี่ยนออกคือ โชต้า กับ คักโป ที่มีส่วนในประตูตีเสมอ ขณะที่การลงมาของ ดาร์วิน กับ เอลเลียตต์ เพิ่มความได้เสียมากขึ้นในบอลแดนสาม ดาร์วินหน้าเป้าแบบสไตรเกอร์ เอลเลียตต์ช่วยบรรเทาภาระซาลาห์ทางขวา โจนส์ขยับขึ้นสูงมาร่วมเล่นเกมรุกมากขึ้นด้วยเวลานั้นเกมเป็นของลิเวอร์พูลแล้ว

บอลของ ดาร์วิน ยังต้องลุ้นในหลายจังหวะ เกมนี้ศูนย์หน้าอุรุกวัยกลับไปดูตื่นเต้นแบบล้นๆ เหมือนเดิม บอลแรกและการให้บอลยังไม่ดีนัก มีจังหวะหนึ่งงัดบอลส่งให้ ดิอาซ ในเขตโทษแรงและสูงทำให้เพื่อนต้องเล่นยากโดยใช่เหตุ ดีที่ดาวเตะโคลอมเบียเอาตัวรอดได้เยี่ยมควบคุมบอลได้และยังแตะให้ดาร์วินหลุดเข้าไปมีโอกาสยิง

แน่นอนครับ ดาร์วินยังต้องพัฒนาตัวเองต่อไปอย่าหยุด ความนิ่งที่เกิดขึ้นบ้างในบางเกมต้องมาให้สม่ำเสมอกว่านี้ เขามีคุณสมบัติอื่นๆ ครบถ้วนในตัวอยู่แล้ว ถ้าสามารถไปถึงจุดๆ นั้นได้ก็จะยิ่งช่วยทีมได้อีกมาก

เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ลิเวอร์พูลก็ครอบครองเกมได้ วูล์ฟส์ฯ ไม่ได้วูบวาบน่ากลัวเหมือนครึ่งแรกแล้ว ความอันตรายของเจ้าถิ่นลดลงไปมากด้วยเรี่ยวแรงที่อ่อนลงและการเล่นที่แน่นอนขึ้นของทีมหงส์แดง

เพียงแต่กว่าที่ประตูที่สองจะมาถึงก็ต้องรอจนช่วงห้านาทีสุดท้าย และมาจากจังหวะที่ไม่ได้เซ็ตบอลทำเกมบุกจากแดนตัวเอง และมาจากนักเตะที่ไม่คาดคิด

จากลูกเตะมุมที่เข้ามือ โชเซ่ ซา นายทวารโปรตุเกสเลือกเตะบอลเปิดเกมโต้เร็วแต่ไม่แม่นและถูก แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ตัดได้ตรงกลางสนามพาบอลควบขึ้นมาเอง

จังหวะแบบนี้การตั้งรับของฝ่ายรับยังไม่เป็นกระบวนนักเพราะเพิ่งจะคลี่คลายจากการรับมือลูกตั้งเตะ วูล์ฟส์ฯ ถูกลงโทษทันทีด้วยการเล่นง่ายๆ.. ฝากแล้วไป ร็อบโบ้ไหลให้ซาลาห์แล้วเร่งฝีเท้าเข้าไปยิงที่จุดนัดพบจากการเปิดบอลกลับมาให้ด้วยข้างเท้าด้านนอกของดาวเตะอียิปต์

นี่คือเซนส์เกมรุกในแบบของซาลาห์ เขาผ่านให้เพื่อนทำประตูด้วยคุณภาพเต็มเปี่ยมอีกแล้ว มันคือการให้บอลที่เรามักจะเห็นบรรดาเพลย์เมกเกอร์ระดับโลกทำกัน โรนัลดินโญ่ กาก้า อิเนียสต้า เดอบรอยน์ ฯลฯ

หรือจะลองดูประตู 3-1 ก็ได้.. หลังเปิดบอลติดกองหลังเจ้าถิ่นในจังหวะแรก ซาลาห์ดึงจังหวะอย่างใจเย็นรอให้ผู้เล่นวูล์ฟส์ฯ คนที่สองขยับเข้ามาช่วยเพื่อนร่วมทีมในการรับมือกับเขา มันเป็นเวลาเดียวกับที่ เอลเลียตต์ วิ่งเข้ามาเป็นตัวเลือกให้พอดี เขาไหลบอลด้วยน้ำหนักและทิศทางที่รุ่นน้องไม่ต้องเสียเวลาแต่งบอลเลย

จังหวะนี้ต้องชม อลีสซง กับ ดาร์วิน ในที่มาของประตูด้วย อลีสซงใจเย็นไม่รีบออกบอลสั้นให้เพื่อนหลังถูกบีบเข้าใส่ แต่ดึงบอลกลับมาแล้ววางยาวให้ดาร์วินใช้ความแข็งแกร่งเบียดเอาชนะตัวประกบตรงกลางสนามพลิกบอลขึ้นหน้าก่อนส่งให้ซาลาห์

จะว่าไปก็เป็นชัยชนะที่กลมกล่อม ลิเวอร์พูลไม่ได้เล่นอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรกหรอกแต่สามารถปรับแก้จนกลับมาแซงเข้าป้ายได้ หัวใจของมันอยู่ตรงนี้มากกว่า

เมื่อคุณเจอปัญหา จะด้วยปัญหาจากตัวคุณเองหรือการวางแผนมาดีของคู่แข่ง คุณรับมือกับมันอย่างไรและแก้มันอย่างไร

คล็อปป์และลูกทีมของเขาทำได้ด้วยแนวคิดที่ควรจะเป็นในครึ่งหลัง พวกเราจะเล่นแบบครึ่งแรกไม่ได้เด็ดขาดนะโว้ย ต้องเปลี่ยนทันที มันยังทันเวลาแม้จะเหลือแค่ครึ่งเดียวก็ตาม

แท็คติกที่แก้เป็นผล ตัวสำรองมีบทบาททุกคน เกมรับไม่เสียประตูเพิ่ม เกมรุกทำประตูได้จากวิธีการเล่นที่หลากหลายขึ้น ต่อบอลเข้าทำในลูกแรก ตัวสอดพิเศษจากคนเป็นแบ๊กซ้ายในลูกที่สอง และการเปิดบอลจากหน้าประตูตัวเองในลูกที่สาม

อาจจะไม่สมบูรณ์แบบหรอก ทีมไม่ได้เล่นเป็นพระเอกตั้งแต่นาทีแรกยันนาทีสุดท้ายจนต้องยืนปรบมือให้ แต่นี่แหละฟุตบอล มีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสมอ..

และนี่แหละลิเวอร์พูล.. เรื่องความตื่นเต้นขอให้บอก ต้องลิ้นห้อยไล่ยิงแซงเขามา 3 จาก 4 เกมหลังสุดแล้วเนี่ย

ไม่ได้บอกว่าดี แต่เอาชนะได้ในที่สุดย่อมเป็นเรื่องที่ดีและมีมุมดีๆ ให้มอง ปัญหาการเสียประตูไปก่อนหรือโดนยิงง่ายก็ต้องเอาใจช่วยกันต่อไปให้คล็อปป์และลูกทีมสามารถแก้ไขมันได้

เตะ 5 นัด ชนะ 4 เสมอ 1.. เสมอเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในเกมแรกแล้วก็ชนะ 4 เกมรวด อยู่อันดับสามตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ 2 คะแนน มันก็ไม่ได้แย่อะไรนักหรอก ฤดูกาลนี้ยังได้ลุ้นกันยาวๆ ครับ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport