การไม่ได้ไปยุโรปอาจเป็นผลดีต่อเชลซี

การไม่ได้ไปยุโรปอาจเป็นผลดีต่อเชลซี
การไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปในอีกด้านหนึ่งมันก็อาจเป็นผลดี

รายได้ที่หายไปมากนั้นคือการสะดุดครั้งใหญ่แน่นอน แต่สิ่งที่แลกมาคงเป็นความพร้อมที่มากขึ้นสำหรับการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศ ไม่ว่าจะเกมลีกหรือฟุตบอลถ้วย

ผมยังจำฤดูกาล 2013/14 ที่ ลิเวอร์พูล ลุ้นแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างถึงพริกถึงขิงได้ดี ทีมหงส์แดงของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส หล่นไปอยู่อันดับ 7 ในฤดูกาลก่อนหน้าทำให้ไม่ได้สิทธิ์ไปเตะฟุตบอลสโมสรยุโรปทั้งถ้วยเล็กถ้วยใหญ่

ภารกิจของบีร็อดส์ในฤดูกาลใหม่มีเพียงฟุตบอลในประเทศ พรีเมียร์ลีก เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ เท่านั้น

มันกลายเป็นซีซั่นแห่งความทรงจำของแฟนบอลลิเวอร์พูล เมื่อโฟกัสทั้งหมดพุ่งตรงไปที่ภารกิจคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบสองทศวรรษครึ่งของสโมสร ไม่มีเกมกลางสัปดาห์ให้กังวล ไม่มีการเดินทางระหว่างประเทศเข้ามาแทรก ไม่มีการกรำศึกใช้ร่างกายสมบุกสมบันให้เป็นปัญหา

เหมือนกับว่าถนนทุกสายที่แอนฟิลด์พุ่งตรงไปที่การลุ้นแชมป์ลีกล้วนๆ การไม่ได้ไปเตะแชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ ยูโรปา ลีก กลับกลายเป็นพลังขับเคลื่อนทั้งในทางอ้อมและทางตรงให้ยอดทีมแห่งเมอร์ซี่ย์ไซด์พุ่งทะยานอย่างรุนแรงในลีก

ลิเวอร์พูลเกือบจะสิ้นสุดการรอคอยก็คราวนั้น เพียงพลาดในช่วงท้ายฤดูกาลเท่านั้นเอง

แน่นอนครับมันอาจไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ปาดหน้าลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ในคราวนั้นก็ต้องไปเตะแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานของทีมเรือใบสีฟ้านั้นยอดเยี่ยมจริงๆ ต้องกรำศึกรอบด้านขนาดนั้นยังลงเอยด้วยการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้

กระนั้นผมเชื่อว่ามันส่งผลด้านบวกต่อการทำผลงานในลีกมากกว่าลบครับ อย่างน้อยคุณย่อมมีเป้าหมายที่จะกลับไปอยู่ในจุดที่เคยอยู่อีกครั้งให้ได้ หรือถ้าทุกอย่างไปได้สวย เป้าหมายอาจขยับสูงขึ้นกว่าเดิมก็ยังไม่ผิด

เลสเตอร์ ซิตี้ ฤดูกาล 2015/16 ก็คล้ายๆ กัน คือภารกิจที่ต้องทำในฤดูกาลนั้นมีเพียงฟุตบอลในประเทศเท่านั้น เป้าหมายไม่ใช่แชมป์หรอกก็ฤดูกาลที่ผ่านมาเพิ่งหนีตกชั้นตาเหลือก แต่เล่นไปๆ สมาธิและความมุ่งมั่นกระหายก็ยิ่งชัดขึ้นๆ เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งก็พุ่งตรงไปที่ความปรารถนาแรงกล้าที่จะสร้างประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ร่วมกัน และพวกเขาไม่มีเกมยุโรปมาคั่นให้เสียจังหวะ เดินหน้าลุยไปข้างหน้าอย่างเดียว

ผมสนใจ เชลซี ในฤดูกาลนี้ว่าอาจจะอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น

พูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้คงเป็นเรื่องตลก ทีมสิงโตน้ำเงินครามเพิ่งจะมีแค่ 4 แต้มจาก 4 นัด และแพ้ไป 2 เกมแล้ว แต่ผมคิดว่าเป้าหมายที่พื้นที่ท็อปโฟร์ยังเป็นเป้าหมายที่จับต้องได้แน่นอน ขณะที่เรื่องลุ้นแชมป์ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในอนาคต ถ้าทุกอย่างลงล็อกได้พอดี พวกเขาก็อาจจะไปอยู่ในจุดนั้นได้เหมือนกันด้วยศักยภาพผู้เล่นที่พร้อมอยู่ในตัว

ผลงานชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 2 ใน 4 เกมที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้คาดหวังได้เลย แต่ในด้านสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริงเมื่อปฏิทินเกมสโมสรยุโรปมาถึงในสัปดาห์หน้าเชลซีจะมีความได้เปรียบเรื่องการเตรียมความพร้อมในแต่ละเกมที่มากกว่าทีมใหญ่ด้วยกัน

เสร็จศึกจากสัปดาห์นี้ก็จะมีเวลาพักฟื้นเต็มที่เพื่อเตะในเกมต่อไปสัปดาห์หน้า การวางแผนและฝึกซ้อมรับมือกับคู่แข่งที่กำลังจะมาถึงก็ทำได้เต็มที่ตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่ต้องแบ่งสมาธิให้กับการทำการบ้านและซ้อมรับมือคู่แข่งในเกมยุโรปซึ่งยังมีเรื่องการเดินทางและพักผ่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง

เก็บรายละเอียดในแต่ละเกมได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย มีเวลาศึกษาหาจุดอ่อนจุดแข็งของคู่ต่อสู้ นักเตะก็ได้ซ้อมเต็มกำลังตลอดสัปดาห์ด้วยสมาธิที่ชัดเจนกับคู่ต่อสู้ที่รออยู่ ไม่ต้องเตะวันอาทิตย์ พักจันทร์ ซ้อมกับเดินทางอังคาร เตะพุธ เดินทางกลับและพักพฤหัสฯ ซ้อมศุกร์ เตะเสาร์ เวียนไปวนมาอยู่อย่างนี้

เวลาในการศึกษาข้อมูลเตรียมเตะกับคู่ต่อสู้ก็ย่อมมากขึ้นกว่าการมีภารกิจแทรกในเกมยุโรป เช่นเดียวกับเวลาในการปรับแก้จุดบกพร่องหรือเสริมเพิ่มเติมส่วนที่ขาดหายไป

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงด้วยเงื่อนไขด้านโปรแกรมแข่งขัน ส่วนมันจะส่งผลด้านบวกต่อเชลซีมากขนาดไหนคงต้องรอดูกันอย่างเดียว แน่ล่ะเวลานี้พวกเขายังไม่เข้าที่เข้าทางเลย ความกดดันจากสื่อและแฟนบอลพุ่งไปสู่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ และนักเตะของเขามหาศาล หากนั่นคือเรื่องธรรมดาที่ทีมระดับนี้จะต้องเผชิญอยู่แล้ว

เชลซีคงหวังให้เกิดอะไรสักอย่างขึ้นมา 'คลิก' จนกลายเป็นการจุดชนวนพาทีมพุ่งทะยานแบบหยุดไม่อยู่เหมือนฤดูกาล 2016/17

มันคือช่วงเวลาใกล้เคียงกันอย่างนี้เลย ตอนนั้น อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือใหม่เพิ่งจะเห็นทีมถูก อาร์เซน่อล ขยี้ยับ 0-3 ทำให้ 3 เกมล่าสุดเก็บได้แค่แต้มเดียวทั้งๆ ที่ออกสตาร์ต 3 นัดแรกของฤดูกาลด้วยการชนะรวด

แล้วจากนั้นคอนเต้ก็ปรับระบบการเล่นเป็นเซนเตอร์แบ๊กสามคน กลายเป็นจุดเปลี่ยนมหัศจรรย์แห่งฤดูกาล พาทีมชนะ 13 เกมติดต่อกันและแพ้อีกแค่ 3 นัดเท่านั้นตลอดซีซั่น คว้าแชมป์ลีกได้ก่อน เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เริ่มงานใหม่พร้อมๆ กันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ฤดูกาลนั้น เชลซีก็ไม่ได้ไปเตะฟุตบอลสโมสรยุโรป..

สมาธิชัดเจน โฟกัสแน่วแน่ แรงกระหายและความมุ่งมั่นพุ่งตรงสู่พรีเมียร์ลีกเท่านั้น

นอกจาก ลิเวอร์พูล 2013/14 เลสเตอร์ ซิตี้ 2015/16 และเชลซี 2016/17 ที่กล่าวถึงแล้ว กรณีคล้ายๆ กันยังเกิดขึ้นกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ไม่ได้เล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปในฤดูกาล 2014/15 กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาลที่แล้วด้วย ยูไนเต็ดตีตั๋วไปแชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อีกครั้ง ขณะที่ทีมสาลิกาดงคว้าสิทธิ์ไปล่าบิ๊กเอียร์เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี

ฤดูกาลนี้เชลซีไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลสโมสรยุโรปเลยแม้แต่รายการเดียว น่าสนใจนะครับว่ามันจะแปรเป็นพลังผลักดันให้พวกเขาในเวทีพรีเมียร์ลีกได้แค่ไหน

โปเช็ตติโน่อยู่ในสถานการณ์คล้ายกับคอนเต้ คือเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ต้องทำงานภายใต้ความกดดัน เริ่มต้นไม่ค่อยดี แต่มีความได้เปรียบเรื่องโปรแกรมเตะไม่ต้องกรำศึกสโมสรยุโรป

สิ่งที่พอชเสียเปรียบคอนเต้แน่ๆ ก็คือ คอนเต้ ทำสำเร็จไปแล้ว ลอยตัวไปเรียบร้อยแล้ว แต่กุนซืออาร์เจนไตน์เพิ่งเริ่มนับหนึ่ง ไม่รู้เลยว่าผลลัพธ์จะเป็นลูกผีหรือลูกคน

สำคัญกว่านั้นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในซีซั่นแรกที่คอนเต้ต้องเจอนั้นยังไม่ลงตัวกับฟุตบอลของเป๊ป แต่ทีมเรือใบสีฟ้ายามนี้เป๊ปเพิ่งจะพาบรรลุสู่จุดสูงสุดและทำท่าจะทะยานไปต่อแบบคนโรคจิต (อีตาบ้า!)

ในภาพรวมผมยังมองว่าเชลซีจะเป็นม้ามืดที่น่าสนใจไม่น้อยในฤดูกาลนี้ มาตรฐานอย่างพวกเขาสามารถเบียดลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์ได้แน่นอน ส่วนจะไปได้ไกลกว่านั้นไหมหรือบทสรุปจะเป็นอย่างไร เวลาเท่านั้นครับที่จะให้คำตอบ

ตังกุย


ที่มาของภาพ : getty images
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport