การศึกระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่ แอนฟิลด์ กำลังจะจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 หลังเวลาเดินไปถึงนาทีที่ 97 เลยกำหนดทดเจ็บที่ขึ้นบนป้ายไฟไปแล้วถึง 2 นาที
แต่เมื่อผู้ตัดสิน อังเดร มาร์ริเนอร์ ไม่ยอมเป่านกหวีดหมดเวลาเสียที
"หงส์แดง" จึงมาได้ประตูชัยจากลูกเตะมุมที่ตัวสำรองอย่าง
ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ ตวัดเข้าไปแบบรูตูดตะลึงกันทั้งบาง
และนี่คือสิ่งที่ผู้ชมทางบ้านอย่างผมอยากบอก
1.ตัวผู้เล่นถือว่าไม่ค่อยสมประกอบด้วยกันทั้งคู่
ลิเวอร์พูล ยังเหมือนเดิมคือไม่มีเซ็นเตอร์แบ็คตัวหลักอย่าง โฌแอล มาติ๊ป กับ อิบราฮิมา โกนาเต้
แดนกลางปราศจาก ติอาโก้ อัลคันตาร่า
แดนหน้าไร้ ดิโอโก้ โชต้า กับ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ติดโทษแบนเป็นเกมสุดท้าย
11 ตัวจริงแทบไม่ต่างจากกับเกมถล่ม บอร์นมัธ 9-0
ขณะที่ผู้มาเยือนอย่างสาลิกาดง ไม่มีผู้เล่นสำคัญอย่าง อัลลัน แซงต์-มักซิแมง, คัลลั่ม วิลสัน และบรูโน่ กีมาไรซ์
แต่สามารถส่งหัวหอกตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาอย่าง อเล็กซานเดอร์ อีซัค ลงเล่นได้ทันที หลังขอเวิร์ค เพอร์มิต ได้ทัน
เอ็ดดี้ ฮาว วางระบบ 4-5-1 พลางวางแผนเล่นงานพวกพรี่ๆ ตามสูตรสำเร็จที่ ฟูแล่ม, คริสตัล พาเลซ และแมนฯ ยูไนเต็ด เคยแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างนั่นแหละ
2.รูปแบบการเล่นชัดเจนด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
ลิเวอร์พูล เน้นเกมรุกตามสไตล์
นิวคาสเซิ่ล วางแดนกลาง 5 ตัวยืนเรียงกันเป็นหน้ากระดาน
ตรงกลางมี ฌอน ลองสต๊าฟฟ์ ปักหลัก ประกบข้างด้วย โจ วิลล็อค และ โจลินตัน ขนาบข้างด้วยตัวริมเส้นอย่าง ไรอัน เฟรเซอร์ กับ มิเกล อัลมิร่อน โดยทิ้งดาวเตะใหม่ในแดนหน้าคนเดียว
วิธีการเล่นคือบีบสูงแล้วพุ่งเข้าใส่ ไม่ให้เจ้าถิ่นเซ็ตบอลขึ้นมาได้ถนัดเป็นอันดับแรก
หาก ลิเวอร์พูล ลำเลียงลูกผ่านกลางสนามได้ ผู้เล่นในชุดดำขาวจะรีบถอยกันลงมาช่วยกันปิดพื้นที่ให้แน่นหนา
มิเท่านั้น
ผู้เล่นของ นิวคาสเซิ่ล ยังแสดงให้เห็นถึงความคึกคะนองมากกว่า ด้วยการพุ่งเข้าบดบี้อย่างขยันขันแข็ง และทุ่มเทแบบเต็ม 80 ตีนถีบ
ต่อเมื่อตัดบอลได้จะไม่เตะทิ้งเตะขว้าง ก่อนหาจังหวะโต้กลับแบบได้น้ำได้เนื้อมากกว่าชัดเจนจนนำมาซึ่งประตูขึ้นนำ
3.เกมรุกของ ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยดุดันสักเท่าไหร่นะครับ
ลูกทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ครองบอลได้มากกว่าก็จริง แต่ดูเนือยๆ ไร้ซึ่งพลังและความดุดัน โดยบอลมักจะไปเด๊ดห่าก่อนจะหาจังหวะจบเสมอ
พูดง่ายๆ ว่าแทบไม่ได้สร้างความกดดันให้เกมรับของผู้มาเยือน
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไม พวกเขาถึงมีโอกาสในครึ่งแรกเพียงแค่ 5 ครั้ง แถมยิงไม่ตรงกรอบเลยสักครั้งเดียว
นอกจากนี้ยังใช้ประโยชน์จากลูกเตะมุมไม่ได้เลย
ก่อนอาการจะกระเตื้องขึ้นในครึ่งหลัง เมื่อกุนซือกะโปกเหล็กชาวเยอรมันสั่งให้ลูกทีมเร่งสปีดของเกม และเล่นตรงๆ มากขึ้นทำให้บอลเดินทางไปถึงกรอบเขตโทษของ นิวคาสเซิ่ล ได้เร็วขึ้น
4.บทจะได้ประตู ลิเวอร์พูล ก็ได้ง่ายๆ ซะอย่างนั้น
อันนี้จัดเป็นคุณสมบัติของพวกพรี่ๆ เขานะครับ คือเกมไม่ต้องเลิศเลออะไรมากมาย ไม่จำเป็นต้องบุกขย่มอย่างจงหนัก บทจะมา เดี๋ยวมันมาของมันเองดื้อๆ
ตอนตีเสมอเป็น 1-1 เวลายังเหลืออีกประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งต้องบอกว่าเหลือเฟือฟายสำหรับเครื่องจักรนักอึ๊บนะครับ
ทว่าปัญหาเดิมๆ ของหงส์แดงจาก 3 เกมแรกก็กลับมา คือมันเร่งไม่ขึ้นอีกแล้ว
นอกจากจะเร่งไม่ขึ้น เกมรุกยังไร้ไอเดีย ว่าแล้วก็หนักไปทางยิงทิ้งกับยิงขว้าง ดูไร้วี่แววที่จะแซงนำ
5.ความดราม่ามันอยู่ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 5 นาทีนี่แหละครับ
เหตุที่ทดนาน 5 นาที เพราะ นิวคาสเซิ่ล ใช้แท็คติกถ่วงเวลา ด้วยการนอนเจ็บทุกครั้งที่มีโอกาส
ขนาดเข้าสู่ช่วงทดเจ็บแล้ว พวกสาลิกาดงก็ยังพยายามจะถ่วงเวลาด้วยการนอน ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ผู้ตัดสินเพิ่มเวลาออกไปอีก หลังจากผ่านไปครบ 95 นาที
แล้ว นิวคาสเซิ่ล ก็มาตกม้าตายตรงนี้แหละครับคุณ
เรื่องของเรื่องคือก่อนจะถูกยิงตายในนาทีที่ 97 กว่าๆ นั้น
นิวคาสเซิ่ล ได้ครองบอลบุกนะครับ - ขอโทษ
จังหวะนั้น โจลินตัน ลากลูกหลุดไปทางปีกขวาซึ่งมีพื้นที่ว่างมากมาย
แทนที่จะเอาบอลไปที่มุมธง เพื่อฆ่าเวลา คุณพี่เขากลับเลือกที่จะลากไปสุดเส้นแล้วเปิดเข้ากลาง ก่อนจะล้นทะลักเลยเสาสองไปไกล...ซะอย่างนั้น
นั่นส่งผลให้ ลิเวอร์พูล ได้ครองบอลบุกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะได้ลูกเตะมุม
เรียนตามตรงว่าถ้าจังหวะนั้น โจลินตัน ไม่โลภมากแล้วตัดสินใจพาลูกไปหมกไว้ที่มุมธง บอลมันจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นจน ลิเวอร์พูล ไม่น่าจะมีเวลาเหลือพอที่จะบุกเป็นครั้งสุดท้าย
เจ๊ตเข้ !!!
บอ.บู๋